วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2551

อช.เขาสามร้อยยอด

สงกรานต์ปีนี้ ตั้งใจว่าต้องไปพักผ่อนชาร์ตแบ็ตเสียหน่อย จึงได้เลือก อช.เขาสามร้อยยอด เป็นที่พักผ่อน ก่อนอื่นต้องเข้าไปจองบ้านพักออนไลน์ได้ห้องคูหา (ลืมบอกไปต้องเข้าไปจองล่วงหน้า 60 วัน แบบว่ากลัวคนอื่นแย่งนะ) Trip นี้ไปกันแค่ 4 คน คือ นุช, ฮ้อน,หนุ่ย และ โป้ง ออกเดินทาง เช้าวันที่ 13 เมษายน 2551 เวลา 6.00 น. แวะตลาดมหาชัย เพื่อซื้ออาหารทะเลไปทำกินที่นั่น และแล้วเราก็ได้ 1. เจ้ากุ้งนาง 1 กิโล @ 180 บาท 2. กุ้งขาว 1 กิโล @ 150 บาท 3. ปูม้า 1 กิโล @ 230 บาท และ 4. ปลาหมึก ครึ่งกิโล ราคา 65 บาท จากนั้น ก็มุ่งหน้าสู่จุดหมาย

พอนั่งรถมาถึงเขาย้อย ตอนแรกกะว่าจะแวะทานข้าวราดแกง กับกาแฟ ร้อน ๆ เสียหน่อย แต่พอมาถึงคนเยอะมาก ทั้ง 2 ร้าน และก็เข้าซ้ายไม่ทัน เพราะขับเร็วไปหน่อย (แบบว่ารถไม่ติดนะ) ทำงัยหละที่นี้ เลยร้านมาแล้วด้วย จึงขับไปเรื่อย ๆ จนมาถึงร้าน.... (เดลินิวส์รับรองความอร่อย) จึงแวะเข้าไปทาน สั่งแกงแพนงหมู กับไข่ต้ม 3 จาน ส่วน ของน้องหนุ่ย สั่ง ผัดกาดดองผัดไข่+ไข่ต้ม หิวก็หิว แต่แม่เจ้าประคุณเอ๋ย รสชาติสุดยอดมาก มาแค่ไหน เหลือแค่นั้น แม้กระทั่ง ไข่ต้มยังไม่อร่อยเลย จึงไปสั่งกาแฟร้อน คนขายใจดีชงให้เรา เราแอบมอง คนชงใส่กาแฟ แค่ ครึ่งช้อน และให้น้ำตาล 1 ซอง ครีมอีก 1 เราเลยขอครีม อีก 1 เป็น 2 เอามาปรุง ปรากฏว่ามันดื่มไม่ได้จริง ๆ เหมือนน้ำล้างถ้วยกาแฟ จึงคิดเงินดีกว่า หมดไป 275 บาท











เดินทางมาถึง อช.เขาสามร้อยยอดประมาณ 10 โมงเช้า ก็เสียค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน 190 บาท ค่าเข้าคนละ 40 บาท ค่ายานพาหนะ 40 แล้วก็ขับรถมาที่บ้านบางปู เพื่อจะต่อเรือข้ามฝากไปแหลมศาลา ค่าเรือ ไป-กลับ เหมาลำ 10 คน 300 บาท แต่ถ้าค้างคืน 500 บาท (นั่งเรือ ไม่ถึง 10 นาที) ตอนแรกพวกเรางกนะ ก็แหมไปแค่เนี๊ย ตั้ง 500 บาท ตัวหารเงินก็น้อย จึงลองเดินเท้าขี้นไปชิมรางก่อน โอ๊ย แทบตาย (ขนาดตัวเปล่านะเนี่ย ถ้าต้องแบกสัมภาระจะขนาดไหน จึงต้องยอมเสียเงิน แลกกับการแบก แต่ก็ไม่ลืมจะเก็บภาพวิวจากด้านบนมาฝาก











จากนั้น ก็ขนสัมภาระออกมายืนรอเรือของเรา เพื่อจะนั่งข้ามไปแหลมศาลา คนเยอะมาก ๆ แต่ส่วนใหญ่จะไป-กลับ เพราะที่แหลมศาลา บ้านพักยังมีไม่มากนัก ดังนั้นจึงไม่ค่อยสะดวกเพราะต้องจองล่วงหน้า












และแล้วเรือก็นำเรามาถึงแหลมศาลา จึงรับกุญแจกับเจ้าหน้าที่ และเข้าบ้านพักชื่อบ้านคูหา บ้านใหญ่มาก นอนได้ 8 คน มี 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ เมื่อเก็บกระเป๋าเสร็จ ก็เดินไปทานอาหารเที่ยงที่ร้านค้าสวัสดิการ ใกล้ ๆ ที่พัก อาหารที่นี่รสชาติก็ใช้ได้ทีเดียว แต่จะมีป้ายติดแจ้งไว้ตลอดที่ร้านอาหาร แม้กระทั่งบ้านพัก จะแจ้งให้ทราบว่าน้ำแข็งมาไกล ละลายไปกว่าครึ่ง ดังนั้นน้ำแข็งที่นี่จะแพงกว่าปกติ กระป๋องละ 10 บาท แต่เราว่าก็โอเคนะ (เพราะที่ร้านหมูกะทะ ไม่ต้องเดินทางไกลกระป๋องละตั้ง 30 แหนะ)










เมื่อจัดการกับอาหารเที่ยงแล้ว ก็กะว่าจะมาปิ้งยางอาหารทะเล และแล้ว...... ซวยหละสิ ดันลืมน้ำจิ้มซีฟู้ดที่ให้ เจ๊หมวยทำมาให้ 2 ชนิด คือพริกแดง และพริกเขียว (เจ๊หมวยที่ว่านี้ คือแม่ไอ้หนุ่ยมันนะแหละ หรืออีกอย่างก็คือแม่ยาย ของไอ้ฮ้อนมัน งง...เปล่า) พลขับของเรารับอาสาเดินขึ้นเขาไป - กลับ 2 กิโล เพื่อไปเอาน้ำจิ้ม (หน้าบางไม่กล้าขออาศัยเรือไป แจ้งว่าลืมของขอนั่งฟรี เรื่องแค่เนี้ยทำเป็นอาย ไม่รู้จะอายทำมัย นักท่องเที่ยวตั้งเยอะแยะ) ระหว่างที่รอน้ำจิ้ม พวกเราก็เดินถ่ายรูปกันที่ทิวต้นสน






เหนื่อยแล้วกว่าจะรู้จุดว่าต้องกระโดดตอนไหน เล่นเอาลิ้นห้อย เลยเรา (แต่ไม่บอกหรอกว่าตอนไหน ให้ไปฝึกเอาเอง แบบว่าหวงวิชานะ) จากนั้น ก็นอนมั่ง กระโดดเยอะแล้ว

เจ้าโป้งขอนอนก่อนนะ













น่าสงสารจัง รับบทหนัก จึงขอเดี่ยว ๆ บ้าง (คิดว่าสวยกว่ามีคนนั่งนะ คิดเหมือนกันเปล่า)






หลังจากนั้นก็เก็บภาพทิวทัศน์อันงดงาม และหายเหน็ดเหนี่อยกับการกระโดด ก็มาจัดการกับอาหารทะเลที่ซื้อมาซะ อย่าให้เสีย เริ่มจากย่างกุ้งก่อน ผลัดกัน ย่างคนละที สองที ก็มันครั้งแรกของเรานี สนุกดี ลืมบอกไปเราเอาเตาย่างมา 2 ประเภท คือใช้ถ่านหุงข้าว กับใช้ไฟฟ้า ที่นี่อนุญาติให้ใช้ไฟได้จึงเสร็จเรา ใช้เตาไฟฟ้าย่างเสียเลย ขณะย่างก็นึ่งปูไปด้วย แหม....กลิ่นมันช่างหอมรัญจวนเสียนี่กระไร ถ้าไม่เชื่อดูจากภาพประกอบแล้วกันนะ




















สุกยังวะ.....ช่วยดูหน่อยดิ

หลังจากที่ปิ้ง ไปทานไป ดื่มเบียร์ กันไป มันช่างอร่อยได้ใจ จริง ๆ พับฝ่าสิ บรรยากาศสวย ๆ กระรอกน้อย หลายตัว วิ่ง ไล่จับกัน ตามพื้น และบนต้นมะพร้าว ช่างมีความสุขมาก ๆ ดูเวลาประมาณ 4 โมงเย็น คงต้องหยุดทานกันก่อน เพื่อจะเดินไปเที่ยวที่พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ ณ ถ้ำพระยานคร เพราะเวลา ไป-กลับ ประมาณ 1 ชั่วโมง กลับมาจะได้ลงเล่นน้ำทะเลกัน ว่าแล้วก็เดินทางกันเลย
ระยะทางแค่ 430 เมตร แต่สุดยอด คนเยอะมาก ช่วงที่ขึ้นตอนแรก ๆ ทางชันสูงทีเดียว แถมไม่มีที่พัก สุดยอดจริง ๆ เล่นเอาเหงื่อไหลเหมือนอาบน้ำกันเลย หัวใจเต้นแรง ปวดหัวตุ๊บ ๆ (ก็ก่อนขึ้นดันดื่มเบียร์ไปซะหลายแก้ว แถมหยิบแก้วคนนู้นกิน คนนี้กิน ผิดอีก ทั้งมึนทั้งเหนื่อย ไม่ได้แก่นะ แต่ว่าเมานะ) ไอ้หนุ่ย มันชั่วร้ายมาก ๆ มันสะใจ ที่ได้ไปทริปนี้ เพราะว่ามันบอกเราว่าสะใจจริงโว้ย เห็นไอ้นุช มันเหนื่อยสุด ๆ ชั่ว จริง ๆ มันไม่เกิดก่อนบ้างแล้วไป ...จำไว้)

พอขึ้นมาถึง ก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เพราะว่าสถานที่สวยดีค่ะ ร.5 ทรงชอบที่นี่มาก มาที่นี่ถึง 2 ครั้ง รวมทั้ง ร.7 และ ร.9 ของเราก็เคยมานะ



ซุ้มรอดคู่ ไม่ค่อยมีคนรอด แต่เรารอด ตอนรอดก็จูงมือกันรอด (คิดเอง เออเอง ว่าจะได้อยู่เป็นคู่) แต่พอมาถามคนแถวนั้น ก็บอกว่าถ้าใครได้รอดแล้ว จะได้กลับมาที่นี้อีก ดีแฮะ แบบว่าอยากกลับมาอีก ชักจะหลงเสน่ห์ที่นี่แล้วสิ
ใช้เวลาเดินทางไป-กลับ ประมาณชั่วโมงเศษ ตามที่เจ้าหน้าที่แจ้งไว้ (ลืมบรรยายไปว่าระหว่างทางลง เหงื่อของเรากับเจ้าโป้งอาบโทรมกาย พอเดินผ่านเด็กตัวเล็ก ๆ เด็กถามแม่ว่า ข้างบนมีที่อาบน้ำด้วยหรือค่ะ ? หนุ่ยบอกว่าไม่มีหรอก และเป็นเหงื่อของพวกเราต่างหาก ทำงัยได้ก็คนมันร่างกายสูบฉีดดีก็อย่างนี้แหละ)


หลังจากลงมาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าลงเล่นน้ำทะเล ให้หายเหนื่อย แต่น้ำลง ลง มาก ๆ (มารู้ตอนหลังว่าต้องอาบตอนเช้า ๆ น้ำทะเลจะขึ้นสูง และใส แจ๋ว แหวว สีเขียวน่าอาบมาก ๆ โง่จริง ๆ วันหลังจะกลับมาอาบแก้ตัว) น้ำไม่ใส แถมลงไปลึกจนเหยียบโคลนเลยทีเดียว น้ำอุ่น ๆ ก็ดีเหมือนกันเหมือนมาทำสปา แถมอาบโคลนด้วย ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ขึ้นมาทำอาหารกันอีก ทีนี้ เหลือกุ้งนางอีก 1 กิโล ทำงัยหละ โทร.ไปถามแม่ว่ากุ้งเค็มทำอย่างไร แม่บอก ว่ากุ้งครึ่งกิโลใส่เกลือไอโอดีน ครึ่งช้อนโต๊ะ เราก็ทำกัน และที่เหลือก็ย่างกินกันอีก 1 มื้อ (ลืมบอกว่าว่าไปสั่งต้มยำน้ำใส,ไข่เจียวหมูสับ และข้าวเปล่ามาทานกับอาหารของเราด้วย)












วัน ๆ ไม่ทำอะไร คอยจ้องอย่างเดียว ว่ากูจะกินมึง กูจะกินมึง (ขอบอกว่ากุ้งเค็มอร่อยโครต)




เช้าแล้วของวันที่ 14 เมษา ตื่นแต่เช้าเดินเล่นตามชายหาด แล้วโชคดีเห็นชาวบ้านแถวนั้น ปักตาข่ายดักปลาเอาไว้ จึงเดินเข้าไปดู วันนี้ได้แมงดา 2 ตัว (น่ากินเชียว ไข่มันอร่อยจัง) อุ๊ยบาปกรรม จึงถ่ายรูปเก็บไว้ซะหน่อย จากนั้นก็ถ่ายรูปตอนเช้า ๆ และเดินเล่น ก่อนจะมาต้มกาแฟ กับ มาม่าทาน เป็นอาหารประจำ ที่ติดตัวไปด้วยทุกทริปก็ว่าได้
หลังจากจัดการกับอาหารเช้าเสร็จ ก็อาบน้ำอาบท่า เตรียมตัวกลับ เพราะว่าแจ้งกับคนขับเรือว่าจะกลับตอน 10 โมงเช้า (แต่ประมาณ 9 โมงคนขับเรือเดินมาถามแล้วว่าจะกลับหรือยัง ก็โอเค กลับก็กลับเพราะต้องแวะไปไหว้วัดห้วยมงคลต่อและนัดกับแม่ที่เดอะมอลล์ไว้ จึงเก็บภาพบรรยากาศก่อนกลับอีกสักหน่อย

ขุดหาอะไรนะ ....








อ๋อ...เอาใจแฟน ใต้ทรายมันเย็นนะสิ แล้วก็หยอกล้อกันน่าอิจฉาหมาตัวเมียจัง ตัวผู้ทำมัยมันช่างเอาใจจริง ๆ


ขอแบบคู่บ้าง
















ใครบังคับ ....มันถ่ายวะ



ต่อจากนั้นก็แวะไหว้พระที่วัดห้วยมงคลเพื่อเป็นสิริมงคลกันซักหน่อย และจะซื้อน้ำอบเพื่อสรงน้ำพระ แต่แหม น้ำอบขวดกระจิ๊ดเดียว ขายชุดละ 100 บาท พร้อมผ้ายันต์ และรูปภาพพระ แพงจัง แค่น้ำอบอย่างเดียว ซัก 30 บาทก็จะสรงแหละ จึงไม่ได้สรง ได้แต่ไหว้อย่างเดียว แดดร้อนมาก ๆ จึงถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก่อนกลับ















และแวะซื้อของฝากที่ร้านแม่กิมไล้ ถึงกรุงเทพฯ เวลา บ่าย 2 โมง เป็นอันจบทริปแห่งความประทับใจอีก 1 ทริป ใช้ระยะทางทั้งหมด 487 กิโล ค่าใช้จ่าย 6,170 บาท (ไม่รวมพวกครีมกันแดด,กล่องโฟม) ถึงบ้านและให้อาหารปลา และไปทานสุกี้ต่อกันที่ เอ็ม เค และได้ถ่ายรูปฟรีในวันครอบครัว เล่นกับหลานเพลิน สนุกดี พอ 6.30 น . กลับบ้านอย่างมีความสุข พบกันใหม่ทริปหน้า......


วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2551

ขุนวาง,แม่จอนหลวง,เขื่อนแม่งัด,อช.ศรีสัชฯ

ปเมื่อ 30 ธค.50 - 3 มค.51


ไปกัน 8 คน มีสมาชิกดังนี้ 1. พลขับ นายฮ้อน สามีฉันเอง 2. นุช(ตัวข้าพเจ้าเอง) 3. หนุ่ย (น้องสาว) 4. โป้ง (แฟนน้อง) 5.ติ๊ก (เพื่อนรัก) 6.พี่ว๋ง (สมาชิกต่างวัยแต่ใจเดียวกัน) 7.หน่อย (ชมรมคนรักเด็ก) 8. เจ้าต้น(แฟนหน่อย) เก็บค่าใช้จ่ายคน ละ 3000 บาทยกเว้น คนขับ รวมเป็น 21,000 บาท

ออกเดินทาง 3 คืนวันที่ 30 ธค.50 ถึงเช้า ที่สวนสนบ่อแก้ว แวะถ่ายรูปชักภาพกันซักหน่อย โชคดีที่ไปถึงเข้าไม่มีคน จึงเก็บภาพได้เพียบ แถมกระโดดถ่ายภาพกันจนเหนื่อย












หลังจากที่ได้ภาพสวย ๆ ก็จะหาอะไรทานเสียหน่อย แต่ร้านค้าเจ้ากรรม ดันไม่เปิด ทำงัยหละ แต่ไม่มีอะไรมาขัดขวางความหิวเราได้ จึงต้มมาม่ากินกันที่นั่น แก้มกับหมู กับ เนื้อ เค็ม บวกข้าวเหนียว ที่พี่สาวแสนสวยของเรา (พี่หมู) จะต้องซื้อให้ติดตัวทุกครั้งที่พวกเราไปเที่ยว เมื่ออิ่มหนำสำราญแล้ว มุ่งหน้าสู่แม่จอนหลวง ที่พักของเราคืนนี้ ก่อนถึงแม่จอนหลวงไม่ลืมที่จะซื้อส้ม (ผลไม้ที่ขาดไม่ได้ประจำ trip) และน้ำแข็ง มุ่งหน้าสูขุนวางเจ้า....


ทางไปขุนวางและแม่จอนหลวง ก็คือทางที่จะขี้นไปดอยอินทนนท์ แต่ยังไม่ถึง เลี้ยวขวา ก่อน ตรงแยกอะไรจำไม่ได้แล้ว แต่ก็มาถึงที่ขุนวาง ระหว่างทาง เห็นดอกนางพญาเสือโคร่งบานสะพรั่ง เต็มทาง ก็ตื่นเต้นมาก ๆ (ไปมาหลายปีไม่ค่อยโชคดีแบบนี้ บางครั้งดอกยังไม่บาน) พอถึงขุนวาง ก็กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ เพราะต้นนางพญาเสือโคร่งเยอะแยะไปหมด หรือจะเรียกอีกชื่อว่า ซากุระเมืองไทย แวะถ่ายรูปอีกแล้ว เก็บภาพ กันชื่นใจ


และต้องขับรถไปต่ออีก 7 กิโล ถึงจะถึงแม่จอนหลวง ที่พักของเรา ตอนแรกคิดว่า 7 กิโล จะชิว ๆ แต่โอ้โห สุดยอด ทางขรุขระ สุด ๆ แต่ก็ได้บรรยากาศ ฝุ่นตลบ พวกนั่งข้างหลัง กระแทก จนเพื่อนติ๊กเรา ตกเลือดเชียว แต่ก็มาถึงแม่จอนหลวงจนได้ แต่ก็คุ้มค่ากับการนั่งรถ กระแทก ไปกระแทกมา บางครั้งต้องลงมาเอาหินค้ำที่ล้อ ก็รถเราคนเยอะนี่ แถมเสบียงก็เพียบ ทั้งคนทั้งของแน่นรถไปหมด แต่ก็มาถึงจนได้ พอไปถึงคุ้มกับระยะทาง เพราะที่นี่สวยดีนะ แถมเป็นส่วนตัว เงียบสงบดีเราไปถึงประมาณเที่ยง เริ่มหิวแล้วสิแต่เราไม่ได้จองล่วงหน้า จึงสั่งอะไรไม่ได้จึงต้องทานข้าวผัดกัน จากนั้นก็เข้าที่พัก บ้านพักเป็นเตียงรวม ฝั่งละ 5 เตียง แยกย้ายกันจองที่พัก และเล่น ปิงโก กัน บ้างก็อาบน้ำ (แต่ขอบอกว่าห้องน้ำไม่ค่อยดีนะใช้ได้ไม่กี่ห้อง ที่จะติก็คือห้องน้ำแหละ นอกนั้นก็ดีหมด) ส่วนข้าพเจ้าเมื่ออาบน้ำเสร็จ ก็ออกมาถ่ายภาพ จะถ่ายอะไรไม่ได้เลย นอกจาก ดอกซากุระ ก็มันเต็มไปหมด





ตกเย็นก็เก็บภาพพระอาทิตย์ตกดินกัน และไปรอทานอาหารเย็น ที่ต้องสั่งล่วงหน้าตอนจองบ้านพัก มิฉะนั้น ไม่มีขายนะจ๊ะ ต้องทำกินเอง รอทานอาหารนาน มาก ๆ อากาศก็เริ่มเย็นลง ๆ จนหนาวเหลือเกิน ทานไปหนาวไป อาหารเติมได้ไม่อั้น มื้อนี้รอดตาย ไปอีกมื้อ ก่อนกลับไปเข้านอนกับที่นอนอุ่น ๆ (เสียดายไม่ได้นอนเต้นท์เลยเหมือนอะไรหายไปบางอย่าง)















รุ่งขึ้นเช้าของวันใหม่ ตื่นดูทะเลหมอก สวยดีจัง ไม่ต้องเดินไปไหนไกล ออกจากที่พักมาก็เจอแล้ว หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็เตรียมตัวทานข้าวเช้า ( trip นี้ ผู้ดีจริง ) อาหารเช้าเป็นข้าวต้ม เติมได้ไม่อั้นเหมือนเคย เมื่อทานเสร็จก็ จ่ายค่าเสียหาย ค่าบ้านพัก รวม อาหาร 2 มื้อ เป็น 2,040 บาท





ออกจากแม่จอนหลวง ตามแผนก็แวะที่ ดอยอินทนนท์ ระยะทางใกล้ แต่รถแห่กันขึ้นไปเพียบ รถติดยาวเหยียด กว่าจะหาที่จอดได้ เล่นเอาเจ้าต้น อ๊วก จนหมดไส้ (เด็กเพิ่งเคยมาเขาก็อย่างนี้แหละ ไปบ่อย ๆ ก็จะชินเอง เหมือนตุ๊กติ๊ก กับ trip แรกไม่มีผิด ฮิ ๆๆ) แต่ก็มิวายจะเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกอีกตามเคย















ออกจากดอยอินทนนท์ ก็มุ่งหน้าสู่ อช.ศรีลานนา คืนนี้เราจะนอนแพกันที่เขื่อนแม่งัด (จองที่พักออนไลน์ 1 คืน 1200 บาท นอนได้ 6 ท่าน แต่ไป 8 ก็ได้ แพไม่จมฮิ ๆ )ที่พักก็โอเคดีค่ะ มี 2 แพ ติดกัน ของเราจะเป็นการจองทางอินเตอร์เน็ต ส่วนอีกแพเป็นการจองที่อุทยานเลย ที่นี่สงบเงียบดีค่ะ










มาถึงก็สั่งอาหารกันเลย ข้าง ๆ แพจะมีร้านค้าสวัสดิการจะนำเมนูมาให้ และโทร.สั่งได้ อาหารที่ขึ้นชื่อที่นี่คือ ปลาสร้อยทอดกรอบ อร่อยจริง ๆ ค่ะ เพราะสดมาก เนื่องจากจับมาเขื่อนที่เราพักเนี่ยแหละ อาหารที่สั่งก็มี 1.ปลาสร้อยทอดกรอบ (สุดยอดแย่งกันกินน่าดู) 80 บาท2.ยำสาวศรีลานนา 60 บาท 3.ปลาทับทิมนึ่งมะนาว 120 บาท4.ต้มยำรวมมิตร 80 บาท 5.ปลานิลทอดกระเทียม 100 บาท 6.ยำสมุนไพรกรอบ 60 บาท(คราวหน้าไอ้ติ๊ก มึงไม่ต้องสั่งนะ เพราะไม่มีโปรตีนเลย มีแต่สมุนไพรล้วน ๆ กินไม่ได้นะเหลือทิ้ง) 7.ผัดผักรวมมิตร 40 บาท 8.ไก่ผัดเม็ดมะม่วง 60 บาท และข้าวเปล่า 3 โถ 120 บาท รวมค่าอาหาร 720 บาท อร่อยให้ 5 ดาว ราคาไม่แพง คุ้มค่ามาก ๆ ค่ะ หลังจากจัดการกับอาหารเที่ยง ก็มาเล่น ปิงโก ต่อกันที่ระเบียงแพ ตกกลางคืน ต่อด้วยเล่นพลุ ดอกไม้ไฟ (คิดไม่ถึงว่าต้องเล่นดอกไม้ไฟ ก็ดีนะ ถ้าไม่มีเจ้าต้นไปด้วย ความคิดดี ๆ แบบนี้ก็คงไม่มี) และก็ปล่อยโคม ไฟ 2 โคม แข่งกัน โคมละ 4 คน สนุกดีค่ะ ถือว่าได้ปล่อยเคราะห์ปล่อยโศก แค่นี้ก็สุขแล้วหละ ก่อนแยกย้ายกันไปนอน
















เช้าอีกแล้วหรือ ทำไมเวลามีความสุข (นอน) มันเร็วจัง แปลกมั๊ย อากาศหนาวแต่ะถ้านอนที่แพ ไม่ยักจะหนาว (เชื่อปละ ถ้าไม่เชื่อลองมานอนดูแล้วจะรู้ เพราะทดสอบนอนแพแล้ว 2 ครั้ง ไม่หนาวเลยซักครั้ง) ตื่นเช้า ถ้าจะดูพระอาทิตย์ขึ้นต้องเดินไปที่สันเขื่อน ถึงจะเห็นพระอาทิตย์ แต่ถ้าอยู่ทีแพอย่างพวกเราก็จะไม่เห็น เพราะภูเขาจะบัง เห็นแบบนิด ๆ และทะเลหมอกจะเห็นแบบไกล ๆ









เก็บข้าวของออกจากแพที่พักและได้แวะเที่ยวที่วนอุทยานน้ำตกบัวตองและน้ำพุเจ็ดสี เราไปถึงเช้ามาก ยังไม่มีนักท่องเที่ยวเลย มีแต่เจ้าหมาน้อยน่ารัก ๆ คาบกระดาษทิชชู่ มาให้ (รู้ได้งัย...ว่าเราอยากเข้าห้องน้ำ)
จากนั้นก็เดินไปดูน้ำพุเจ็ดสี น้ำใสมาก ๆ แต่ไม่เห็นมีเจ็ดสีเลย (ตามตำนานว่าไว้เมื่อก่อนน้ำใสมาก ๆ และจะเปลี่ยนสีไปเรื่อย ตามอุณหภูมิ และเป็นน้ำพุขึ้นมา แต่ปัจจุบัน น้ำไม่มีเป็นเพราะคนเราเนี่ยแหละที่ คอยตัดไม้ทำลายป่า จนมีผลกระทบต่อธรรมชาติ) เสียดาย ..... แต่ก็เก็บภาพไว้อีกตามเคย












ใกล้ ๆ กันจะเป็นน้ำตกบัวตอง ต้องเดินลงไปหน่อยเดียว แต่พอมาถึง สุดยอด จริง ๆ เป็นน้ำตกหินปูน แต่หินที่นี่ขาวมาก ๆ และไม่ลื่นด้วย สามารถปีนขึ้นไปถ่ายรูปได้ เราจึงปีนขึ้นไปเก็บภาพเสียยกใหญ่












ออกจากน้ำตก เราจะไปไหนกันดีหละ จึงขับลงมาเรื่อย ๆ และที่สำคัญคืนนี้ไม่ได้จองที่พักไว้ด้วยสิ ตามโปรแกรม ค่ำไหน นอนนั่น แต่แล้วความคิดชั่ว ๆ ของพวกเราจึงตัดสินใจคืนนี้เราจะค้างที่ อช.ศรีสัชนาลัย เพี่อเป็นบทลงโทษ ของสมาชิกท่านหนึ่ง (ไม่ขอเอ่ยนาม) เพราะใจโลเลมาก ๆ เดี่ยวไป เดี๋ยวไม่ไป แต่ทราบมาว่า มัน....อุ้ย....เธอผู้นี้ใฝ่ฝันว่า อยากไป ศรีสัชฯ มาก ๆ จึงเอาวะ ในเมื่อเพื่อนอยากไปเราก็จัดให้ คือไปเที่ยวแทนมันงัย ไปถึงที่ อช. ไม่มีคนเลย ตอนแรกกะว่าจะนอนเต้นท์กัน (มีคนหนึ่ง ได้เต้นท์ใหม่ แฟนซื้อให้ กะว่าคืนนี้ได้นอนเต้นท์ใหม่ แต่พอไปติดต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อขออนุญาติกางเต้นท์ และมีค่าใช้จ่ายต่อหัว คือ คนละ 40 บาท ( 8 คน ก็ 320 บาท) แต่ถ้าเช่าบ้านพัก ก็ 1 หลัง นอนได้ 4-5 คน (แต่เจ้าหน้าที่โกหกบอกว่านอนได้ 8 คน ) ราคา 1000 บาท จึงคิดว่าเช่าบ้านดีกว่า ไหน ๆ ทริปนี้ ก็ผู้ดีแล้ว ก็ผู้ดีตลอด (ทำให้เพื่อนเรางอนไปเลย อยากใช้เต้นท์ใจแทบขาด อย่าน้อยใจนะ เอาไว้ทริปหน้าชัวร์จ๊ะ)













ออกจากที่พักเตรียมตัวกลับสู่กรุงเทพฯ (แย่จังพรุ่งนี้ทำงานอีกแล้ว) แต่ก็ไม่พลาดที่จะแวะเที่ยวที่ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ที่นี่สวยมาก ๆ แต่เรามีเวลาไม่มากพอที่จะเก็บภาพความสวยงาม ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ สมแล้วที่ได้รับยกย่อยว่าเป็นมรดกโลก เพราะงดงามจริง ๆ ประทับใจค่ะ ที่ได้ไปเยือน






























ก่อนกลับสู่กรุงเทพฯ ด้วยสวัสดิภาพ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 14,820 บาท (ค่าน้ำมัน 5,090 บาท) เจอกันทริปหน้านะ......