วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เยือนสังขละ unseen สะพานมอญ ท่องเมืองบาดาล ชมพระอาทิตย์ตก

วันกรรมกร หรือเรียกให้ไพเราะว่าวันแรงงาน ปีนี้โค ตะ ระ โชคดีที่เราได้หยุดติดต่อกัน 3 วัน ส่วนเจ้าฮ้อนก็หยุดเหมือนกัน ดังนั้น กระสันอยากจะเที่ยวมานาน แล้ว หลังจากปีใหม่ที่ผ่านมา ยังไม่ได้ ออกไปเที่ยว ออกไปช่วยชาติ เลย (เดี๋ยวพี่เบิร์ดเค้าจะว่าเอา) หยิบโปรแกรมอันเก่าออกมา คือสังขละบุรี ตั้งใจจะไปตั้งนานแล้ว อยากไปเดินสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ซะหน่อย จึงชวนหนุ่ยป๊อด แต่หนุ่ยป๊อดต้องขอตัว เพราะว่าติดภาระกิจ อันสำคัญ จึงไปด้วยไม่ได้ งานนี้จึงไปกัน 2 คน เอาว๊ะ 2 คนก็สองคน สบายดี จึงเตรียมซื้อขาวของเรียบร้อย และเก็บข้อมูลจาก internet มาพอสมควร และได้โทรจองแพมิตรสัมพันธ์ เรียบร้อย ก่อนเดินทาง 3-4 วันมั๊ง เล่น net กับติ๊กเข็ด จึงทราบว่า ติ๊กเข็ดก็เปลี่ยนมาหยุด 3 วันเท่ากัน จึงถามว่าไปไหน ติ๊กเข็ดบอกว่าจะไปไหว้พระกับพี่เตี้ย เราก็บอกว่าเราไปสะพานมอญ จะไปเซอร์เวย์ ทางมาให้ ถ้าดีเดี๋ยวจะพาไป และได้ทราบอีกวันว่าติ๊กเข็ดไม่ได้ไปไหว้พระแล้ว เนื่องจากพี่เตี้ยไปไม่ได้ (ไม่รู้ใครตาย) เราจึงลองชวนไปเที่ยวสะพานมอญกันไหม ติ๊กเข็ดจึงลองชวนฮานอย แต่ฮานอยบอกว่าหยุดไม่ได้ งานเยอะ เราจึงให้ชวนพี่ไพ่ผ่อง แต่พี่ผ่องหยุด แค่วันเดียว แต่ถามว่าไปไหน (ติ๊กบอกเหมือนอยากจะไป แถมจะมาคุยรายละเอียดที่บ้านตอนกลางคืนอีก) พออีกวันติ๊กก็บอกว่าไปไม่ได้ จะไปทำบุญที่วัดอัมพวันมั๊ง ไปกันเถอะ 2 คน แต่ถ้าจะให้ช่วยหารค่าใช้จ่ายก็จะไปกับเรา แต่เราก็บอกว่าไม่เป็นไรค่าใช้จ่ายไม่น่าจะเกินสูงหรอกเราออกคนเดียวได้ แต่ถ้าแกไปก็คนละ 1 พันบาทไม่เกินนี้ (แต่ก็แย๊บ ๆ มันไปอีก ว่าไปนี่ก็ได้ทำบุญเหมือนกันเพราะก็ไปวัดแถมได้ทำบุญใส่บาตรด้วย 555 ไม่คิดว่าจะได้ผล) ตอนสาย ๆ ติ๊กเข็ด โทรมาบอกว่าไปด้วย เราจึงรีบโทรไปจองแพที่พักอีก 1 ห้อง และแล้วก็สำเร็จ มีคนไปช่วยหารค่าใช้จ่ายจนได้ 555 เหมือนนักมวยแหละที่ค่อย ๆ แย๊บ ให้คู่ต่อสู้มันน่วม เดี๋ยวมันก็น็อคเองแหละ เขียนมาซะยืดยาว ก็หวังว่าคนบางคนจะเข้าใจนะ ติ๊กเข็ดไม่ได้โกหก แต่ฮานอยไม่ได้ถามเองว่าไปกับใคร

วันที่ 1 พค 52 ตื่นแต่ตี 5 อาบน้ำแต่งตัว ไปรับติ๊กเข็ดที่หน้าบ้าน แต่สงสัยจะตื่นเต้น ไปก่อนเวลา นัดกัน 7 โมงเช้า แต่ไปถึง 6.30 น. โทรเรียกติ๊กเข็ดลงมา มันบ่นฉิบหาย งานเข้า ๆ กำลังจะสวดมนต์เลย ทำไมมาก่อนเวลา เราก็ไม่สนใจ ก็คนนอนไม่หลับนี่หว่า และก็ขับรถ ไปรับพี่ไพ่ผ่องคนนี้ก็แต่งตัวเร็ว นะเสร็จเรียบร้อยแล้ว (ถ้าเป็นหนุ่ยป๊อด นัด 7 โมง 6.30 น. มันคงกำลังอาบน้ำ หรือหวี่ผมอยู่เลย 555)

และแล้วเราก็เริ่มออกเดินทางกัน ขับรถไปเรื่อย ๆ ไม่มีใครคุย ยกเว้นติ๊กเข็ด เชื่อป๊ะ คุยตั้งแต่ 6.30 น. จนถึงกาญจนบุรี มันยังไม่หยุดเล๊ย (สงสัยจะเก็บกด ทำงานที่ไม่ต้องสงบเสงี่ยมไว้ก่อน ลายยังไม่ออก 555)

ประมาณเที่ยงหรือบ่ายนิด ๆ แวะกินก๋วยเตี๋ยวกันคนละชาม (120 บาท) ก่อนแวะเที่ยวด่านเจดีย์สามองค์ พอไปถึง สุดยอด.....แอนด์.... สุดอึ้ง ต้องไปค่ะท่านผู้อ่านท่านต้องไป



และเดินซื้อของได้สร้อยคอที่ทำจากเชือก เราซื้อ 3 เส้น 80 บาท ติ๊กเข็ดซิ้อ 1 เส้น 20 บาท รวมเป็น 100 คุยไปคุยมา เลยลืมของแถมเลย ให้ตายเถอะ สงสัยจะถูกพม่าหรอก ฝากไว้ก่อนคราวหน้าจะไปเอาคืน


วันที่ไป ด่านไม่เปิด แย่จัง ก็มันจะเปิดได้อย่างไร ในเมื่อมันปิดมาตั้ง 2 ปีแล้ว แม่งนิสัยไม่ดี ให้คนของมันมาขายของที่ประเทศไทย แต่ไม่ให้คนไทยเข้าไปประเทศมัน โห...โครตยุติธรรมเลย


ออกจากด่านเจดีย์สามองค์ก็ถึงแพที่พัก หาได้ไม่ยาก เพราะคุยกับเจ้าของว่าอยู่เยื้อง ๆ กับสะพานมอญ และก็มาถึงจนได้ เนี่ยและที่ ที่เราตามหาอยากมามาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร (เคยเล่น net ลองตรวจดูว่าชาติที่แล้วคุณเกิดเป็นอะไร เชื่อป๊ะ ชาติที่แล้ว เราเกิดเป็นสาวมอญ อาชีพแม่ค้า ก่อนมาที่บ้านยังแซวเลย ว่ามาแล้วกลัวจะไม่กลับ เพราะว่าไปเจอลูกเจอผัวที่ประเทศมอญ 5555)

แพของเราเป็นแพจัมโบ้ มีห้องพัก 4 ห้อง ห้องละ 350 บาท เรานอนห้องติดกันคือห้อง 1+2 พอไปถึงบ่าย ๆ ร้อนมาก ๆ เนื่องจากหลังคาแพเป็นสังกะสี สู้แพอีก 2 หลังติดกันไม่ได้ ไม่ค่อยร้อน แต่ค่าพัก 1000 บาท มีเครื่องประกอบอาหารให้ครบ เหมาะสำหรับมากันเป็นกลุ่ม แต่มีห้องนอนแค่ห้องเดียว อากาศร้อนอบอ้าว เหมือนฝนจะตก ลมแรงมาก เราขึ้นไปเอากล้องที่ลานจอดรถ เห็นมะม่วงแก้วตกลงมาหลายลูก ลุงเจ้าของที่เป็นคนเฝ้ารถยื่นมะม่วงให้เราเราจึงเอามา 1 ลูก เห็นติ๊กเข็ดบ่นว่าอยากกินของเปรี้ยว พอติ๊กเข็ดได้มะม่วง เหมือนได้แก้ว หามีดปอกใหญ่ แต่เราไม่ได้เอามา แต่ก็ไม่เป็นปัญหาหรอก เพราะว่ามันใช้ปากกัดกินอย่างอร่อยไปแล้ว (สงสัยคุณแม่จะได้หลาน) ส่วนเราก็ถ่ายรูปวิวสะพานมอญไปเรื่อย ๆ ส่วนสมาชิกอีก 3 คน ก็สำรวจห้องพักกัน....ดูเอาเถอะ ร้อนแบบนี้มันยังทำกันได้




ตามโปรแกรมพอเย็น ๆ ต้องนั่งเรือไปชมวัดจมน้ำ หรือเมืองบาดาล กัน แต่พอเราถามเจ้าของแพ น้องบอกว่าฝนจะตก ไปดูไม่สวยไม่เห็นอะไร หรอก ไปพรุ่งนี้เถอะพี่สวยเหมือนกัน วันนี้ไปไม่ทันแล้ว (แต่ก็รู้ทีหลังว่าเรือที่จะพาไป ไม่มีแล้วเพราะว่าลากแพออกไปจึงไม่มี เรือที่จะพาเราไป) เราจึงทานข้าวเย็นแทนดีกว่า ลืมบอกไปว่าที่แพมิตรสัมพันธ์ ขึ้นขื่อเรื่องอาหาร เพราะเราได้หนังสือ 102 ที่เที่ยว จาก SCB ที่เราส่งเรื่องท่องเที่ยวไปลง ในหนังสือยังลงไว้เลยว่าถ้ามาที่นี่ต้องลอง ต้มย้ำปลากลด และเราก็ไม่พลาด แถมสั่งเพิ่มอีก คือปลาสร้อยทอดกรอบ(2 จาน) ยำผักกูด ผัดฉ่าลูกชิ้นปลากราย อาหารเค้าอร่อยจริง ๆ เหมาะสำหรับคนหวานอยู่แล้ว ไม่ต้องน้ำตาลอย่างพวกเรา โห้ว...ไอ้ฮ้อน อุ๊ยลืมไป ผัวเรา เจ้าฮ้อนกับติ๊กเข็ด ชอบมาก ซดกันซี๊ดซ๊าด ส่วนพี่ไพ่ผ่องไม่รู้ชอบเปล่า...แต่ก็ดีนะ เป็นคนธรรมมะ ธรรมโม ไม่ใช่เจ้าของร้านวีดีโอ (มากเรื่อง) ส่วนเราก็กินได้ ขออย่างเดียวกับข้าวอย่าหวานเป็นใช้ได้

หลังอาหารเย็นเวลาเหลือ ไปเดินเล่นสะพานมอญกัน เรากลัวฝนตกจึงนำกล้องตัวเล็กไป แต่พอถ่ายได้ไม่กี่ภาพ พระเจ้า....เวรกรรมมีจริง ด่าฮานอยไว้มาก เป็นเองซะงั้น ดันเอา mem ของแถมใส่มา ส่วน mem 256 ที่หนุ่ยกับโป้งซื้อให้ถอดไว้ที่บ้าน เฮ้อ... จึงเก็บไว้แค่ความทรงจำก่อน พรุ่งนี้ เจอกันแน่ ไม่พลาด




กลับจากเดินสะพานมอญ ติ๊กเข็ดยังอยากมะม่วงไม่เข็ด ช่วยกันเก็บมาได้ อีก 4 ลูกมั๊ง และนำไปให้แม่ครัวยำมะม่วง รสชาติดี มีแต่ถั่ว อย่างอื่นไม่มี แต่ก็กินได้ กินมะม่วงเสร็จ รีบอาบน้ำกัน ก่อนที่อีก 2 ห้องข้างๆ จะกลับมาแย่งห้องน้ำ (ฉลาดจริง ๆ พวกเรา) พอตกดึกก็เข้านอน เรานอนไม่หลับตื่นทั้งคืนเลย ไฟแยงตา และเจ้าฮ้อนก็เดินดัง เข้าห้องน้ำตลอด ตั้งนาฬิกา ได้ตีห้า จะตื่นมาอาบน้ำ จะได้ใส่บาตรพระกัน แต่....เวรกรรมน้ำไม่ไหล รอจนเกือบหกโมง ก็ยังไม่ไหล ส่วนเราฝันหวยด้วยแหละฝันว่าซื้อล็อตตารี่เลข 27 และบังเอิญมองไปที่บนหัวนอน ขนลุกเลย เห็นจิ้งจก 2 ตัว ทำหางงอ ๆ ขด ๆ แปลก ๆ อ๊ะ สงสัยเพิ่งจะแต่งงานกันเสร็จ ทำให้เราคิดไปเอง เออเองว่าต้องมีโชค หวยออก 27 หรือ 72 แน่ ๆ




เราออกมาดูวิวมองไปที่สะพานมอญ สวยดี หมอกเต็มไปหมด และตาก็เหลือบไปเห็น พระเดินบิณฑบาตร ติ๊กเข็ดก็เห็นเหมือนกัน แย่แล้ว...... รีบนำชุดทำบุญ ที่ซื้อมาจากเซเว่น รีบวิ่งไปใส่บาตรกันใหญ่ พวกเราให้เจ้าฮ้อนวิ่งไปดักพระให้รอเราก่อน เหนื่อยมาก ๆ.... วิว ก็สวย...... รีบก็รีบ อยากถ่ายรูปก็อยากถ่าย พอเดินไปใกล้ ๆ เอ้าไม่ใช่พระนี่ เป็นคนใส่เสื้อสีส้ม 3 คน โถ่เว้ย นึกว่าพระ จึงถามแม่ค้าแถวนั้น บอกว่าพระจะมาบิณฑบาตร 6.15 น. แต่บินบนฝั่งโน้นนะ ......วิ่งดิ๊ ก็นี่มันก็ 6.10 น. แล้ว จะทันพระมั๊ยเนี่ย ระยะทางของสะพานไม้ แค่ 850 เมตร เอง 555













และแล้วเราก็มาตรงถนนที่จะไปตลาดมี ร้านค้านำอาหารออกมาตั้งโต๊ะให้ใส่บาตร 2 เจ้า เราเลือกร้านที่ ราคา 100 บาท แต่ใส่บาตรพระได้ 13 รูป ดีใจจังได้มาใส่บาตรแล้ว เวลาใส่ องค์แรก ให้ใส่น้ำ ธูป เทียน และตักข้าว ก่อน องค์ต่อ ๆ ก็ใส่ได้ ไม่บังคับ หยิบอะไรได้ก็ใส่เลย ใส่เสร็จ ทางร้านมีน้ำให้กรวดด้วย ดีจัง ได้เที่ยว ได้ทำบุญ... ชาวมอญน่ารักมาก ออกมาใส่บาตรกันเยอะเลย แต่เค้าใส่ข้าวเปล่ากัน ก่อน ส่วนกับข้าวจะนำไปถวายตามไปที่หลัง แปลกจัง ใครไม่เคยมา ต้องมาพิสูจน์ ลืมไป ก่อนพระจะมาพวกชาวบ้านจะนั่งรอกันที่พื้นถนนเลยนะ สุดยอด บ้านเมืองเค้าทำได้ ลองเป็นบ้านเราสิ รถเหยียบตายไปโรงพยาบาลก่อนใส่บาตรอีก 555

















อิ่มบุญ แต่ยังไม่อิ่มท้อง เดินผ่านบ้านไปเรื่อย ๆ หน้าบ้านแต่ละหลังจะปลูกดอกไม้ทุกบ้าน เช่น มะลิ และอีกหลาย ๆ พันธ์ บ้านเค้าสะอาดดี น่าอยู่นะ เดินเรื่อย ๆ ประมาณ กิโล หรือกว่า ๆ ก็ถึงตลาดมอญ ว่ากันว่าถ้ามาที่นี่แล้วไม่ได้กินขนมจีนหยวกกล้วย แสดงว่ามาไม่ถึง เราก็จัดไปอย่าให้เสีย เป็นขนมจีนน้ำยาหยวก กินแกล้มกับฝักเขียวทอด (ดูรายการเจอร์นี่ไทยแลนด์ ของเรย์กิน..เลยกินตาม) รสชาติก็ใช้ได้ แต่ต้องปรุงนะ ใส่น้ำส้มมะขาม และพริก ถั่วฝักยาว แกล้มกับฝักทอด กับน้ำจิ้ม ก็พอกินได้ เราว่าก็ดีนะ ไว้จะมากินอีกถ้ามีโอกาสได้มา (เรากินได้ไม่เยอะ เพราะไม่เคยกินมื้อเช้า กินแต่กาแฟ) ส่วนติ๊กเข็ด ไม่ค่อยค่อยมัก มักแต่ต้มยำปลากลด ที่แพมากกว่า เรียกเก็บเงิน ว๊าว 26 บาทขนมจีน จานละ 5 บาท ฝัก ชิ้นละ 2 บาท 3 ชิ้น ราคาแบบนี้ ที่กรุงเทพฯ ไม่มีแน่นอน ต้องลอง





และก็ซื้อขนมมาอีกหลายอย่าง หน้าตาแปลก ๆ รสชาติ ไม่ค่อยคุ้นชิน แต่ราคานี่สิ แสนจะถูก ชิ้นละ 1 บาท 2 ชิ้น 5 ส่วนโรตีโอ่งก็ชิ้นละ 10 บาท ได้ขนมเยอะแยะ หมดไปแค่ 26 บาทเอง เดินกลับที่พักเรื่อย ๆ ติ๊กไม่อิ่มจึงแวะกินก๋วยเตี๋ยวต่อ ส่วนเราก็กินกาแฟร้อน (ไม่ค่อยอร่อย จะบอกว่าชงเองอร่อยกว่าอย่างงั้น) เจ้าฮ้อนก็กินอะไรโอวัลตินเย็น ส่วนพี่ไพ่ผ่องนั่งชิมขนมที่ซื้อมา ชิมตั้งนาน ไม่หมดซะที ขนมที่เหลือเลยให้เด็กมัคคุเทศน้อยแถวสะพานไม้ไปกิน แล้วพวกเราก็ปีนขี้นสะพานมอญกับที่พัก(ลืมอีกแล้ว ที่ต้องปีนขึ้นสะพานเนื่องจากกำลังซ่อมสะพาน ครั้งที่ 5 แล้วกระมัง เหลืออีกนิดเดียวจะซ่อมเสร็จแล้ว ดีค่ะ อยากให้ช่วยกันอนุรักษ์ไว้ให้คงอยู่เพื่อลูกเพื่อหลานจะได้มาเที่ยวชมกันในภายภาคหน้า)

เดินกลับถึงที่แพ เอาอีกแล้ว ไอ้ติ๊กเอาอีก ให้ลุงเก็บมะม่วงอีกแล้วค่ะท่าน คราวนี้ เก็บและปอกใส่ถุงเก็บไว้กินอีก งานนี้มันขอมะม่วงลุง เป็นโลได้แล้งมั๊ง

พอ 8.30 น.ก็นั่งเรือไปชมวัดจมน้ำ เป็นวัดของหลวงพ่ออุตตมะเก่า ที่หลังจากสร้างเขื่อนเขาแหลม ทำให้วัดจมอยู่ใต้น้ำ ชาวบ้านจึงไปสร้างวัดใหม่บนฝั่งที่ ที่น้ำไม่ท่วม ..... ใน 1 ปี จะมี ประมาณ เดือนมีนาคม - เมษายน น้ำจะลดลงต่ำสุด สามารถลงไปเดินที่วัดได้ แต่ถ้ามาช่วงหน้าน้ำ วัดจะจมอยู่ใต้น้ำ เหลือไว้แค่ หอระฆังเท่านั้นที่ไม่ท่วม สวยดี..... เราถ่ายรูปมาหลายภาพ วัดจมน้ำ ถือเป็น หนึ่งใน unseen ด้วยนะ ถ่ายรูปจนหนำใจก็กลับเนื่องจากกลัวจะสาย แล้วแดดจะร้อน ไป-กลับ ใช้เวลา ประมาณ 45 นาที ค่าเช่าเรือ 300 บาท กลับมาเก็บข้าวเก็บของ เช็คบิล หมดไป 1,525 บาท




ออกจากแพก็ไปเที่ยวเจดีย์พุทธคยา หาซื้อล็อตตารี่ ไม่มีง่ะ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ดูดอกไม้ที่ชาวบ้านปลูกไว้หน้าบ้าน เค้าปลูกเพื่อร้อยและนำมาถวายพระอย่างนี้นี่เอง





แล้วก็มาต่อที่วัดหลวงพ่ออุตตมะใหม่ หรือวัดวังวิเวการาม ได้สร้อยประคำมาคนละเส้น โชคดีแน่ ๆ แต่ยังหาล็อตตารี่ไม่ได้เลย จึงโทรไปแทงกับหนุ่ยป๊อด เราแทง 52, 25, 30,03(ฝันหลายวันแล้วว่าข้างบนออก 52 ข้างล่างออก 30 แม่นฉิบเป๋งเลยรู้งี้ขายบ้านขายรถซื้อก็ดีแหละ) 27,72 ตัวละ 50 ส่วนติ๊กเข็ดแทงตามเรา แค่ 27,72 และ 104 (ใส่บาตรกับพระ 10 รูป กับเณร 4 รูป คิดได้งัยเนี่ย )







ออกจากวัดก็ขับกลับมาพักที่ป้อมปี่ ที่ อช.เขาแหลม ที่ป้อมปี่ถือว่าเป็นสถานที่ที่ ชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดในภาคตะวันตกเชียวนะ จ่ายค่าธรรมเนียม คนละ 50 บาท ค่ารถอีก 30 บาท รวม 230 บาท จุดกางเต้นท์ที่แรก รถสามารถจอดได้ แต่วิวไม่สวย และไกลห้องน้ำ เราจึงไปกางที่จุดที่สอง แต่รถเข้าไม่ได้ ต้องใส่รถเข็น เข็นสัมภาระไปเอง





เลือกที่กางได้ตามสบาย เนื่องจากมาถึงตอนเที่ยง ๆ จัดแจงวางข้าวของจองไว้ แต่ยังไม่กาง เพราะแดดออก จึงเดินไปทานอาหารที่ร้านค้าสวัสดิการ และดู ทีวีไปด้วย และก็สั่งข้าวกล่องไว้เลยสำหรับมื้อเย็น ตอน 4 โมงครึ่งค่อยมารับ และก็กลับที่พักไปกางเต้นท์กันใหม่ ฝนทำท่าเหมือนจะตก เรารีบกางกันใหญ่ กางเสร็จเราเดินสำรวจบ้านพัก เข้าไปถ่ายรูป ก็แหมใน internet มันไม่สวย แต่ของจริงน่าพักนะจึงเก็บภาพไว้ให้หนุ่ยป๊อดดูเผื่อว่าจะมาโอกาศหน้า พอ 3 โมงกว่า ฟังหวยว่าออกอะไร ปรากฏว่าหวยออก 52 ข้างบน 11 ข้างล่าง เราถูก 50 บาท โชคดีจริง งานนี้เที่ยวฟรีอีกแว๊ว.....




กลับมาที่เต้นท์ฝนตก เราคลุมผ้าใบเอาไว้ไม่เปียก พวกเราก็เลยนอนฆ่าเวลากันซะ สักพักฝนก็หยุด เราก็ไปอาบน้ำกัน โห....ห้องน้ำสุดยอด OPEN จริง ๆ เหมือนที่ภูสอยดาว แต่น่ากลัวกว่า (กลัวคนแอบมองแล้วจะเสียอารมย์) ดี...ได้บรรยากาศไปอีกแบบ อาบไปก็คิดไป จะมีคนเห็นไหมหนอ (แต่ตอนหลังให้ติ๊กเข็ดไปลองยืนทั้ง 4 ห้องปรากฏว่ามองไม่เห็น แต่มันหรอกตาก็สบายใจได้




อาบน้ำเสร็จก็กลับมานั่งคุย กัน และรอพระอาทิตย์ตก สวยดี เห็นพระอาทิตย์ตกภูเขาหลายครั้ง ครั้งนี้ ตกที่น้ำสวยดี เก็บภาพมาหลายรูปเหมือนกัน




ตอนเช้าตื่นนอนล้างหน้า แปรงฟัน ต้มมาม่า โอวัลติน,กาแฟ กิน (ขาดไม่ได้ไปด้วยทุกทริป) ตอนเช้าอากาศดีมาก ๆ เห็นหมอกที่ภูเขาไกล ๆ สวยดี หลังจากอาหารเช้าก็เก็บสัมภาระเรียบร้อย เข็นข้าวของไปที่ลานจอดรถ ช่วยกันเก็บมะม่วงป่า ที่ตกที่พื้นเยอะมาก ๆ รสชาดจัดจ้านดี เก็บมาได้เยอะพอควรและอำลาป้อมปี่
พวกเราไม่อาบน้ำหรอกเพราะว่าเราจะไปอาบน้ำพุร้อนหินดาดกัน ครั้งที่แล้วที่ไป ทองผาภูมิ ได้แต่แช่ขา ไม่ได้อาบ ครั้งนี้ เอาให้ได้ต้องแช่ให้ได้ ไปถึง ก็รู้กฏแล้วว่าต้องแช่น้ำเย็นก่อน แล้วก็ลงแช่น้ำร้อน ตอนแช่น้ำเย็น ก็เย็นจริง ๆ พอจะมาแช่น้ำร้อนครั้งแรก มันร้อนมาก ๆ พวกเรายังไม่กล้าลงทั้งตัว เราเห็นคนแก่คนหนึ่งยื่นมือมาหาเรา เราก็นึกว่าเค้าจะให้เราดึงมือขึ้นมา แต่เราเข้าใจผิดถนัด คนแก่คนนั้น ฉุดเราเราไปในน้ำร้อน อู๊ย....ร้อนจริง ๆ ลงแรก ๆ ร้อนมั๊กมาก แต่พอสลับไป น้ำเย็น น้ำร้อนก็ดีขึ้น พอครบ 3 รอบเราก็ขึ้น เพราะว่าหน้ามึด แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้า ออกมากินส้มตำ ไก่ย่าง แถวน้ำพุร้อน พอกินเสร็จก็กลับ ตอนนั่งในรถ พี่ไพ่ผ่อง เล่าว่าเมื่อกี้ได้ยินคนแก่พูดกันว่า นาตาลี นาโบวา มา เรากับติ๊กเข็ดหูผึ่ง บอกให้ฮ้อนจอดรถ รีบเอาหางตั๋ว วิ่งไปดูนาตาลี มองหาตั้งนาน ไหนว๊ะ นาตาลี สงสังคนแก่เห็นใครก็บอกว่านาตาลีหมดเลยมั๊ง ....งานนี้ถูกคนแก่หรอกอีกแล้วง่ะ



ขากลับแวะซื้อของฝากร้านแรก ซื้อเมล่อน แม่ค้าเฉีอนให้กิน อู๊ยอร่อยกันใหญ่ ลงมาซื้อกันใหญ่ ทั้งเมล่อน ทั้งสละ

ร้านสองแวะอีก ซื้อผักหวานป่า และมะม่วง (เป็นอะไรไม่รู้ชิมอะไรก็อร่อยเลยซื้อใหญ่เลย กลับถึงบ้าน ไอ้ฉิบหาย มะม่วงแม่งเน่าหมด ไม่ได้แด๊กเลย)

ร้านสามแวะร้านวิมลซื้อมะม่วงดอง วุ้นมะพร้าว และของฝากอีก ซื้อเหมือนกันหมด (ไม่ค่อยบ้าซื้อเลยเห็นที่ไว้เยอะเท่าไหร่ ก็ขนกันซื้อเท่านั้น แถมชิมอะไรก็อร่อยอีกแล้วง่ะ)

ร้านที่สี่ร้านสุดท้ายแล้วนะ จะไม่มีที่วางขาแล้ว ส่วนข้างหลังดีนะที่มาสองคน ถ้ามาสามคน จะไปนั่งตรงไหน ร้านสี่ร้านโรงงานวุ้นเส้นท่าเรือ ก็ซื้อวุ้นเส้น คนละ โล และซื้อซาหริ่ม และของฝากอีก

ถึงมหาชัยเติมน้ำมัน ค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 4,722 บาท เราเก็บแค่คนละ 1000 ที่เหลือเราออกเองเนื่องจากถูกหวยนะ ก็คนมันโชคดี อะไรก็หยุดไม่อยู่ 555

ส่งติ๊กที่บ้าน และพี่ไพ่ผ่อง กลับบ้าน โดยสวัสดิภาพ ถึงบ้านจัดของนำไปให้บ้านแม่ และกลับมาซักผ้า.... พักผ่อน พรุ่งนี้ไปทำงานต่อ ..... ฉันจะไปเยือนเธออีกนะ สังขละบุรี บ๊าย บาย........


** ค่าใช้จ่าย ค่าน้ำมันรถขาไป 420.- ก๋วยเตี๋ยว 120.- ขนมจีนหยวก 26.- ขนม 26.- กาแฟ+โอวัลติน+ก๋วยเตี๋ยว 55.- ส้ม 35.- ทำบุญซ่อมสะพาน 40.- ของใส่บาตร 400.- ค่าแพ+อาหาร+นั่งเรือ 1525.- ดอกไม้ที่เจดีย์ 20.- ดอกไม้ที่วัดวังวิเวการาม 40.- ค่าเข้าอช.เขาแหลม 230.- อาหารเที่ยง+เย็นที่ป้อมปี่ 435.- ค่าเข้าน้ำพุร้อน 40.- ส้มตำ+ไก่ย่าง 430.- ค่าน้ำมันรถขากลับ 880.- รวม 4722 บาท ระยะทางทั้งสิ้น 777 กม. น้ำมันราคาลิตรละ 22.79 บาท (13.63 กม/ลิตร)