วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553

อกหักจากรถราง....แต่ไม่ละความพยายามสู่เส้นทางบุญ 2553

ปีใหม่ปีนี้ไม่ได้ไปเที่ยวเหนือ เหมือนทุก ๆ ปี เนื่องจากมีโปรแกรมนั่งเครื่องไปเชียงใหม่-เชียงราย วันที่ 10-12 มกราคม 2553 แทน ดังนั้นปีนี้จึงอยู่แต่ในกรุงเทพฯ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 ซื้ออาหารทะเล ไปทานที่บ้านบางหว้า (กุ้งสะดุ้ง 1 โล 180 ,หอยแครง 1 โล 60 ,ปูม้าสำหรับนึ่ง 4 โล 720 ปูม้าจัมโบ้สำหรับผัด 2 โล 500  ปลาหมึกไข่ 2 โล 2 ขีด 286 ลอดช่องจัดเจษฏ์ 3 ถุง 100  รวม 1846 บาท)
























และเที่ยงคืนก็กินองุ่น 12 ผล กล้วย,หมู,ขนมหวาน,ส้ม,ข้าวโพด,ผัดซีอิ้ว,ปู,หอย,กุ้ง,หมึก,คุ๊กกี้ ฯลฯ ปีนี้บ้านเรามาแปลก และอ่านเจอในเน็ต ว่าหลังเที่ยงคืน พอเริ่มวันใหม่ ให้กิน กิน และกิน ให้อิ่ม หนำสำราญ และเลือกกินแต่อาหารชื่อมงคล ทุกคนไปรวมตัวกันที่บ้านบางหว้า ครบทุกคน ยกเว้นไอ้ฮ้อน ทำตัวน่ารังเกียจ ไม่ยอมไปพิลึกคน ทำไมมันไม่เปิดเผยตัวจริง ก่อนหน้านี้นะ เซ็งเป็ด ใครที่เข้ามาอ่าน blog นี้ ถ้าจะตกลงปลงใจกับใครต้องดูดี ๆ เด้อ 2 ปียังน้อยไป เอาสัก 4-5 ปี เผื่อตัวตนที่แท้จริงมันจะปรากฏออกมาเราจะได้ซิ่งทัน 555 เลิกพูดถึงมันดีฝ่า สมาชิก ในวันนั้นนับได้  11 คน มี พ่อ แม่ ติ๊ด หมู นุช หนุ่ย พี่นนท์ พลัช พี่จืด หนูเพลิน และเจ้าโป้ง สนุกดีง่ะ ยิ่งตอนกินองุ่นยิ่งสนุกใหญ่หวังว่าปีนี้บ้านเราคงต้องโชคดี ร่ำรวย เงินทอง กันแน่ ๆ 555












เช้าวันที่ 1 ตื่นบ่าย เลย เพราะว่ากว่าจะกลับบ้านก็ตี 2 แล้ว แถมบ้านตรงข้ามเปิดเธค ย่อย ๆ ดังมาก กว่าจะหลับได้ก็นานพอควร วันนี้ไม่ได้ไปไหน ซักเสื้อผ้า และเล่นเน็ต เห็นใน TV ว่ากทม.จัดรถรางนำเที่ยวไหว้พระ 9 วัด รอบเกาะรัตนโกสินทร์ อยากไป...อยากไปยังพูดกับหนุ่ยเลย แต่ก็ตกลงกันว่าวันที่ 2 มกราคม จะไปเดินเที่ยวตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง เพราะแม่อยากไป แต่เราอยากไปทำบุญวันปีใหม่มากกว่า และดวงของโป้งไม่ค่อยดี น่าจะไปทำบุญตามหมอลักษณ์บอก จึงเปลี่ยนไปนั่งรถรางทำบุญที่สนามหลวงดีฝ่า แต่แม่ไม่ไปเราจึงไปกันแค่ 3 คน

8 โมงเช้าเราไปรอหนุ่ยที่ป้ายรถเมล์วัดจันทร์ (หนุ่ยมาสายอีกแล้วง่ะ) และนั่งรถยูโร ไปลงสนามหลวงยังไม่รู้เลยว่ารถรางขึ้นตรงไหน และรายละเอียดเป็นอย่างไร ไปถามเอาข้างหน้าง่ะ พอรถถึงสนามหลวงโป้งบอกว่ายังไม่ต้องลง (คนลงหมดคันรถแล้ว) เราไปลงตรงนู้นดีกว่าจะได้เดินน้อยหน่อย หนุ่ยก็บอกว่าลงยัง คนในรถไม่มีแล้วนะ สักพักโป้งบอกว่าลงก็ได้ (ทำไมจะไม่ได้หล่ะ ก็คนขับยังลงเลยนิ๊) โห..กรุงเทพฯ กับพวกเราเนี่ย ไปกันไม่ได้จริง ๆ นะ อายอ่ะ 555

ลงจากรถ เห็นรถรางจอดอยู่ 4 คัน รีบเดินตูดบิดเลย ไปที่รถถามเจ้าหน้าที่ก่อน ว่าต้องทำอย่างไร เจ้าหน้าที่บอกต้องไปลงทะเบียนก่อน ตรงนู้น เรารีบเดินไป โอ้แม่เจ้า.... แถวยาวเหยียดเลย เอาว๊ะ มาแล้วนิ๊ต่อก็ต้องต่อแหละ (ไม่อยากบอกว่าตรงที่ยืนเหม็นฉี่มาก ๆ)





อยากทำบุญวันปีใหม่นี่หน่า จะ 9 โมงแล้ว เจ้าหน้าที่ยังไม่มาเลย ตามโปรแกรมรถเที่ยวแรกต้องออก 9 โมง สุดท้าย 5 โมงเย็น ต่อไปด่าไป คนคิวก่อนหน้าเราด่าใหญ่ และยอมเดินไปทำบุญเอง แถวเลยขยับมาอีกนิด เราให้โป้งเดินไปดูที่หัวแถว ได้ความว่า เมื่อวานนักท่องเที่ยวยังไปไม่หมดเลย รถ 1 คัน นั่งได้ 30 คน 4 คันก็ 120 คน ลองดูจากแถวแล้ว เราอยู่เป็นคนที่หลายร้อยเหมือนกัน เราจึงเดินไปดูเอง แบบว่าอยากรู้จังมันทำเอี้ยอะไรกันว๊ะ แถวไม่กระเติ้องเลย พอไปหน้าแถว ตายแล้ว นี่หรือระบบจัดการของผู้ว่า แม่งเฮงซวยมาก ๆ เอาเด็ก ๆ ผู้ชาย อายุน้อย ๆ มาจัดการ คนข้างหน้าก็ตะโกนด่ากันใหญ่ แถมมันคุยกัน อีกว่าให้มึงไปบอกนักท่องเที่ยวดิ๊ จะตัดแถวแล้ว รับได้แค่ 120 คน เอง ต่อไปไม่ต้องลงชื่อ ถ้าเจอรถที่ไหน ก็ขึ้นได้เลย ป๊าด ห่วยจริง ๆ ผู้ว่าคนนี้ กูไม่น่าเลือกเข้ามาเลย สมองมีไหม วันแรกคนมากกว่ารถ มึงก็จ้างรถของ ขสมก มารับแทนดิ๊ เรื่องแค่นี้ คิดไม่ได้ มิน่าหล่ะ วันที่ 31 เห็นพูดจาไม่รู้เรื่องเลย (ใครไม่เชื่อเข้าไปดูเทปได้ หน้าแดง พูดตะกุกตะกักอะไรก็ไม่รู้) สงสัยยังเมาค้าง พอเราได้ยินดังนั้น ก็บอกหนุ่ยกับโป้งว่า ไปเองดีฝ่า เสียเวลาหว่ะ รอคิวตั้งนาน ไม่ได้ขี้นรถรางเลยง่ะ จึงเป็นที่มาของอกหักจากรถรางงัย 555



วัดที่ 1 คือวัดพระแก้ว ไหว้พระแก้วมรกต แก้วแหวนเงินทองไหลมา เทมา นักท่องเที่ยวเยอะมาก ๆ ส่วนมากเป็นชาวต่างชาติมากกว่าคนไทยเสียอีก โป้งเข้าไม่ได้ต้องเปลี่ยนกางเกงก่อน (มัดจำ 200 บาท ตอนออกค่อยเอาไปคืน) สวยดี ถ่ายรูปมาหลายรูป (ถ่ายซ้ำ ๆ เพราะหนุ่ยบอกว่าทำไมหนุ่ยเหมือนยักษ์เลยง่ะ เลยให้ซ่อมซะหลายใบ)



























ออกจากวัดพระแก้ว ตั้งใจว่าจะไปวัดโพธิ์ แต่หิวข้าวจึงแวะทานอาหารเช้าก่อน ร้านอะไรจำไม่ได้ รู้ตอนหลังว่าเรสเตอรอง อะไรสักอย่าง โป้งสั่งข้าวหมูแดง+หมูกรอบ กะโอเลี้ยง ส่วนเรากับหนุ่ย ข้าวมันไก่+น้ำมะนาว ลืมถ่ายรูปตอนอาหารเสริฟ อร่อย ไม่อร่อย โปรดดูเอาเอง (ขอบอกว่าน้ำมะนาวอร่อยสุด ๆคราวหน้าจะไปทานอีกนะ) ทั้งหมด 150 บาทเอง




เดินไปเดินมา เห็นเค้าตะโกนว่า นั่งเรือไหว้พระ 3 วัด 100 จึงเข้าไปดู เห็นว่าใช่วัดในโปรแกรม วัดกัลยาณมิตร,วัดอรุณ และวัดระฆัง)จึงตกลงใจซื้อตั๋วทันที




เรือออกที่ท่าช้าง ตอนเรือมาเรากับหนุ่ยรีบลงเรือทันที แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขี้น พอถึงคิวโป้งต่อจากหนุ่ย เจ้าหน้าที่กั้นไว้ และบอกว่าให้ผู้หญิงก่อน และถอยเรือออกมาให้เรืออะไรไม่รู้เทียบท่าก่อน เวรหล่ะ ....จะได้ไปลำเดียวกันไหมเนี่ย แต่ท้ายสุดก็ได้ไปลำเดียวกัน เฮ้ยโล่งใจ โป้งเก่งจัง แย่งผู้หญิงลงมาได้ด้วย (หนุ่ยบอกเอ๊ะ พูดทะแม่งยังงัยไม่รู้ 555)





วัดที่ 2 วัดกัลยาณมิตร ไหว้หลวงพ่อโตซำปอกง โชคดีมีชัยปลอดภัยตลอดปี ทัวร์ให้เวลา 30 นาที และเวลา 11.40 น.ให้มาขึ้นเรือ ป้าเจ้าของเรือจะถือร่มดำ คอยอยู่ (เราบอกกับหนุ่ย คอยดูนะเดี๋ยวกูจะมาก่อนพวกคนแก่ที่นั่งหน้า ๆ ให้ได้ จะได้นั่งแถวหน้า และจะได้ลงง่าย ๆ หนุ่ยบอกเออ ๆเราต้องเร็วกว่าแน่ ๆ หิ ๆๆ) ก่อนเข้าวัดแวะซื้อพวงมาลัย คนละ 2 พวง (20 บาท) คนขายเป็นทอม พูดกับโป้งใหญ่เลย สงสัยจะจริงของหมอลักษณ์ ราศีธนูจะได้เพศเดียวกันก็คราวนี้แหละ หนุ่ยมึงแย่แระ





ภายในวัด คนเยอะมาก ๆ อีกแล้ว เราซื้อธูปเทียนชุดเล็ก เพราะมีดอกไม้แล้ว ไหว้ก็ไม่เป็น ไม่รู้ต้องทำยังไงบ้าง เสียเวลาอยู่นาน พอออกมาถ่ายรูปที่หน้าวัด หนุ่ยถามว่ากี่โมงแล้ว เราตอบ 11.40 น. ฉิบ...แล้ว วิ่งกันใหญ่เลย คนในเรือนั่งกันเต็มแล้ว หนุ่ยด่าใหญ่ ไหนมึงบอกว่ามึงจะมาก่อนคนแก่งัย อ้าว ก็เพลินเลย แต่พอเรามานั่ง ยังมีคนยังไม่มาอีกหลายคนเลย จนเรือลำอื่น  ๆ มาที่หลังคนครบแล้ว และออกไปหลายลำแล้ว ป้าร่มดำ เดินมานับหลายรอบ ยังไม่ครบ พวกเราก็เริ่มบ่นแล้ว เกินมา 10 กว่านาทีแล้ว และก็มีหนุ่มสาว 2 คน ลงมา หนุ่ยด่าใหญ่เลย ป้าร่มดำก็ยืนขี้นมาดูอีก เราจึงตะโกนออกไปว่าออกเลย ช่างมันไม่รักษาเวลา ป้าตกใจ ... รีบตะกุกตะกักบอกว่าออกเลยเนอะ ไม่รอแล้ว 555 หนุ่ยบอกว่าอนาคตอาชีพไกด์จัดทัวร์ของเราคงจะรุ่งแน่ ๆ
























วัดที่ 3 วัดอรุณราชวราราม ไหว้พระปรางค์วัดอรุณ ชีวิตรุ่งโรจน์ทุกวันคืน   วัดนี้สวยเหลือเกิน หนุ่ยบอกมิน่าหล่ะ ชาวต่างชาติถึงมาเที่ยววัดในเมืองไทย และกรุงเทพฯก็สวยแบบนี้นี่เอง เราก็ว่าจริงง่ะ สวยจริง ๆ ด้วย คุ้มค่าที่ได้มาทำบุญจริง ๆ ถึงวัดอรุณก็ซื้อดอกไม้ธูปเทียน และนำหนังสือสวดมนต์ที่ยังเหลืออีก 12 เล่ม (ของฮ้อน) มาถวายพระ และให้พระพรมน้ำมนต์ ได้สายสิญจน์ (มีลูกปัด 5 ลูก) คนละเส้นน่ารักดี
ออกมาถ่ายรูปที่หน้าพระปรางค์ คนเยอะอีกแระ แต่ก็ได้รูปสวย ๆ (พระปรางค์) อีกตามเคย ไหว้เสร็จ เหลือเวลาอีกเยอะ จึงลงมานั่งรอที่เรือ คราวนี้อีก 2 หนุ่มสาวมาเร็วแล้ว เริ่มรักษาเวลาแล้ว







วัดที่ 4 วัดระฆังโฆษิตาราม ไหว้สมเด็จพระพุฒาจารย์โต มีชื่อเสียงโด่งดังตลอด   วัดนี้ทางเรือส่งเราแค่วัดนี้ ไม่มีเวลาจำกัด จะนานเท่าไหร่ก็ได้ ขากลับก็ใช้หางตั๋วขึ้นเรือกลับได้ฟรี ไม่เสียเงิน วัดนี้คนแน่นมาก ๆ แน่นกว่าทุกวัดเบียดเสียดกันแน่น เราไปเอาแผ่นพับมาท่องคาถาชินบัญชร หน้าโบสถ์ ให้หลวงพ่อฟัง (หนุ่ยบอก) และซื้อดอกไม้ธูปเทียนปิดทอง มีทอง 5 แผ่น ปิดพระ 5 องค์ ระบบจัดการจัดไม่ดี คนย้อนศรกันไป-มา จึงเสียเวลาตรงนี้ไปมาก ๆ แถมมีผู้ชาย (ทุเรศ) ทะเลาะกับผู้หญิงอีก ใกล้ ๆ เราวุ้ย มาทำบุญนะ ยังจะมากัดกันอีก พอปิดเสร็จก็เดินมาทำบุญผ้าป่า คนละ 1 กอง (100) ได้กำไล หรือพระผงสมเด็จ ให้เลือก เรา 3 คนเลือกเอากำไล เพราะปีใหม่จะได้มีแต่กำไร 555 ทำบุญเสร็จก็เข้าไปไหว้พระในโบสถ์ ไหว้เสร็จจะลุกกลับ หนุ่ยบอกพ่อบอกว่าจริง ๆ แล้ว ต้องสวดคาถาในโบสถ์จึงจะดี (สรุปท่องคาถาคนละ 2 รอบ งานนี้ ทำเยอะ ได้เยอะ เห็นจะจริง )







ออกจากโบสถ์ก็ออกมาเข้าแถวตีระฆัง ก็วัดระฆังนิ๊ ไม่ตีเดี๋ยวมาไม่ถึง และจะได้มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนระฆังด้วย พอตีเสร็จก็ออกมาตักน้ำมนต์ใส่ขวดน้ำกลับบ้านเพื่อเป็นสิริมงคลคนละขวด และนั่งเรือกลับมาที่ท่าช้างเหมือนเดิม

กลับมาที่ท่าช้าง จะกลับมากินอาหารที่ร้านเดิมเมื่อเช้านี้ แต่ว่าร้านปิดแล้ว เพิ่งจากบ่ายโมงกว่า ๆ เองขายดีมาก ๆ เราจึงกินร้านแถว ๆ นั้นแทน สั่งเย็นตาโฟกินกันทั้ง 3 คน รสชาติก็พอใช้ได้ ลืมถ่ายรูปอีกแระ ทั้งหมด 96 บาท ออกจากร้านก็เดิน เดิน และก็เดินไปเรื่อย ๆ เพื่อจะไปวัดโพธิ์ ระหว่างทางเดินของขายเยอะ มาก โดยเฉพาะพระเครื่อง เรากับโป้งเดินหาพระเศรษฐีนวโกษฐ์ กันหลายร้าน จึงมาเจอร้านของลุงคนนึงดีใจมาก ๆ เลย อยากได้นานแล้ว องค์ละ 30 บาทเอง (ปลอมหรือเปล่าไม่รู้แต่รู้ว่าต้องมีติดตัวไว้ หมอลักษณ์บอก 555) เราซื้อ 2 องค์ โป้ง 1 องค์ (รู้งี้ซื้อมาหลาย ๆ องค์ดีกว่าติ๊ดมารู้ทีหลังว่าเราซื้อมา ด่าใหญ่ ทำไมไม่ซื้อมาเผื่อ เราจึงให้ติ๊ด 1 องค์ เหลือไว้ 1 องค์) ดีใจที่ได้พระ เดินยังไงก็ไม่เหนื่อย

และก็มาถึงวัดที่ 5 วัดโพธิ์ ไหว้พระพุทธไสยาสน์วัดโพธิ์ อยู่ดีกินดีตลอดปี   ซื้อดอกไม้ไหว้พระ... ดีมาก ๆ เลย เป็นพระนอนด้วย (เราต้องไหว้พระนอน) ไหว้ด้านนอกเสร็จก็มารดน้ำมนต์ และกรอกน้ำมนต์กลับบ้าน ปนกัน 2 วัด (วัดระฆัง) และก็เข้าห้องน้ำ เราจะเอาขวดน้ำมนต์เข้าห้องน้ำ หนุ่ยก็บอกว่า เฮ้ย... เอาวางไว้ข้างนอกห้องน้ำดีกว่า(เดี๋ยวเสื่อม) ออกมาค่อยเอาไป เราก็ทำตามทีหนุ่ยบอก ห้องน้ำในวัดหรูดีง่ะ ก๊อกน้ำเป็นแบบเซ็นเซอร์ด้วย ทันสมัยจัง พอทำธุระเสร็จออกมา แม่เจ้า.....อีหนุ่ยทำกูแล้ว ขวดน้ำมนต์หาย เวร... เสียดายน้ำมนต์ที่วัดระฆังอ่ะ หนุ่ยบอกไม่ต้องเสียดาย ที่บ้านเรามีน้ำมนต์ของเสาหลักเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแล้วเดี๋ยวให้







เดินเข้ามาในอุโบสถ สุดยอด อลังการมาก ๆ พระนอนสีทองสง่าสุด ๆ องค์ใหญ่มาก ๆ นักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันใหญ่ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ มองจากสายตาแล้ว รู้ได้เลยว่าเค้าทึ่งกับความสวยงามของวัดไทย สวยแบบไม่มีคำบรรยาย





ออกจากวัดโพธิ์ก็นั่งรถตุ๊ก ๆ (60 บาท) ไปวัดที่ 6 วัดสระเกศ ไหว้พระบรมสารีริกธาตุบนยอดบรมบรรพต
ตอนเข้ามาในวัดตอนแรกคิดจะดินขึ้นไปยอดเขา เพราะอยากขึ้นนานแล้วแต่ไม่เคยขึ้น พอมองขึ้นไป โอ้...แม่เจ้าคนหรือนั่น เป็นกระจุก ๆ แถมติดไม่กระดิกเลย โห คงต้องยกยอดเอาไว้ครั้งหน้าลูกช้างจะกลับมาอีกเพื่อขึ้นไปไหว้ให้ได้ จึงไหว้พระที่โบสถ์ และถ่ายรูป









 ออกมาเดินเล่น สักครู่ และเดินไปเรื่อย ๆ เข้าไปในไหนก็ไม่รู้ เห็นช้าง จึงบอกหนุ่ย เนี่ยเคยอ่านในเน็ต ว่าเป็นช้างเสี่ยงทาย จึงถามผู้หญิงที่กำลังให้ลูกเสียงทาย ผู้หญิงก็อธิบาย ให้ฟัง แต่ถ้าอธิบายอาจไม่เข้าใจให้อ่านที่ป้ายจะดีกว่า

วิธีอธิษฐานยกช้างเสี่ยงทาย  นั่งคุกเข่าชิดตัวช้างและเสมอด้านตัวช้างด้านที่ถนัด ตั้งใจให้มั่นระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผู้ชายยกนิ้วก้อย ผู้หญิงยกนิ้วนาง ยกครั้งที 1 (เรื่องที่อธิษฐานถาม) ถ้าประสบความสำเร็จขอให้ยกช้างขึ้น ยกครั้งที่ 2 (อธิษฐานซ้ำเรื่องเดิม) ถ้าประสบความสำเร็จ ขอให้ยกช้างนี้ไม่ขึ้น ถ้าเป็นไปตามนี้ แสดงว่าเรื่องที่ต้องการทราบ ประสบความสำเร็จ  




















หนุ่ยคนแรก (เอาช้างตัวแรกก่อน ครั้งแรกยกขึ้น ครั้งที่ 2 ยกไม่ขึ้น) เราคนที่ 2 ครั้งแรก ยกขี้น ครั้งที่ 2 ยกไม่ขี้น แปลว่าสำเร็จทั้งคู่ พอมาถึงโป้ง ยกครั้งที่ 1 ขึ้น ครั้งที่ 2 ก็ขึ้น อุ้ย...ถามกันใหญ่ว่าถามอะไรเหรอโป้งบอกไม่ได้รถแล้ว อยากได้รถ เราจึงเห็นช้างทองอีก 1 ตัว ลองไปถามช้างอีกตัวดีกว่าเปล่า อยู่ด้านหน้าด้วย ครั้งแรก เรายกขี้น ครั้งที่ 2 ไม่ขึ้นจริง ๆ (ไม่ได้แกล้งนะ) ของหนุ่ย ยกขึ้นทั้ง 2 ครั้ง ของโป้ง ครั้งแรกขึ้นครั้งที่ 2 ไม่ขั้น เย้...โป้งจะมีรถแล้ว เรื่องที่เราอธิษฐานครั้งแรก (คือเราไม่รู้จะอธิฐานอะไรจึงถามว่าล็อตเตอร์ลี่งวดนี้ที่ซื้อมาจะถูกไหม และครั้งที่สอง เราอยากมีที่ดินที่ต่างจังหวัดมาก ๆ ส่วนหนุ่ยเรื่องแรกถามเรื่องหนี้สินว่าจะได้คืนมาไหม และครั้งที่สอง จะมีที่ดินต่างจังหวัดไหม แล้วเราจะมาคอยดูกันว่าช้างท่านจะสักดิ์สิทธิ์ไหม





ออกจากจากโบสถ์ ก็เดินมาเห็นป้ายว่าตอน 5 โมงเย็นหมอลักษณ์ จะมาทำพิธีอัญเชิญพระเศรษฐินวโกษฐ์ ขึ้นประดิษฐานที่ยอดบรมบรรพต และขายเวลาการฟังดวง (แถมพระเศรษฐนวโกษฐ์) ราคาแพงง่ะ พระเม็ดกระดุม 299 พระองค์เหมือนที่เราซื้อมา 30 บาท ขายองค์ละ 800 กว่าบาท และ สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึง 50000 บาท เราว่ามันเป็นธุรกิจนะ จึงไปได้ซื้อมา มีแล้ว มันอยู่ทีใจมากกว่า ระหว่างดูพระ เรากับโป้ง ก็หยิบพระของเรามาดูตลอดเวลาเลย เทียบกันใหญ่ (หนุ่ยแอบสังเกตุ)





ออกจากวัดก็ไม่รู้จะกลับบ้านยังงัย หิวแล้วด้วย และมองเห็นรถสาย 169 อยู่ฝั่งตรงข้ามจึงข้ามถนนไปเพื่อจะกลับบ้าน (คิดกันเอง ว่าต้องนั่งฝั่งตรงข้ามถึงจะกลับบ้าน) พอข้ามมาก็นั่งกินส้มตำหน้าวัดดีกว่า เผื่ออร่อยจะได้พาแม่มาวัดและกินส้มตำ แต่มันกลับไม่อร่อยเลย หวานชื่นใจ หมดไป 130 บาท อยู่ที่โต๊ะส้มตำก็หยิบพระมาดูกันอีก หนุ่ยบอกอีกแล้ว ๆ หยิบพระมาดูตลอดเลย อ้าววว ช่วยไม่ได้นะใครที่มีพระเศรษฐีนวโกษฐ์แล้วจะรวยแบบไม่มีเหตุผลนะ แล้วอย่ามาขอตังค์หล่ะ 555 แล้วเราก็มารอรถที่ป้ายรถเมล์  พอจะจ่ายตังค์หนุ่ยถามผ่านบางแคไหม กระเป๋ารถเดินกลับเลย ลงเลยไปขึ้นฝั่งตรงข้ามเลย ฝั่งนู้นจะใกล้กว่า และจอดรถให้เราลง เพื่อข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามเพื่อกลับบ้าน เก่งอีกแล้ว ไปกรุงเทพฯทีไรขึ้นรถผิดทุกทีเลยง่ะ

กลับถึงบ้านปลอดภัย รถไม่ติด อยากเดินอีกนะ เอาไว้มีเวลาค่อยเดินเล่นแถวสนามหลวงอีกดีฝ่า เริ่มติดใจการเที่ยวกรุงเทพฯ ซะแล้วสิ บ๊าย  ไว้จะมาบอกว่าช้างเสี่ยงทายแม่นหรือไม่ เจอกันทริปหน้า 10-12 มกราคม 2553 จ้า