วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

แก่งกระจาน...เขาพะเนินทุ่ง

วันพ่อปีนี้... เป็นวันเสาร์จึงหยุดติดต่อกัน 2 วัน อย่างนี้ก็เสร็จเราดิ๊... ไปเที่ยวแก่งกระจาน ชมทะเลหมอกใกล้ ๆ กรุงเทพฯ ดีกว่า จึงจองบ้านพักริมน้ำ เอาไว้ 1 หลัง ..ตอนแรกจองไว้ 2 หลัง คิดไปคิดมารีบสละทิ้งเหลือ 1 หลังพอ เพราะคนไป 6 คน ก็เป็นสมาชิกกรุ๊ปเดิมแหละที่ไปวัดท่าซุงเมื่อวันปิยะฯ บ้านนอนได้ 4 คน อีก 2 คน (ติ๊กทิงเจอร์ กับเจ้าโป้ง)ค่อยกางเต้นท์เอาหรือยอมเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกคนละ 100 ประหยัดตังค์กว่าเยอะ เพราะเราต้องเช่ารถขึ้นไปชมทะเลหมอกตอนเช้าเดี๋ยวค่าใช้จ่ายจะไปกันใหญ่ (ไม่ค่อยจะงกเลยเรา 555)

6 โมงครึ่งหนุ่ย+โป้งมารอที่ป้ายรถเมล์หน้าบ้านเหมือนเคย และฮ้อนก็ลางานครึ่งคืนเหมือนเดิม และขับไปรับติ๊กกับพี่ผ่อง ไปซื้ออาหารทะเลที่มหาชัย เหมือนหนังเรื่องเดิมไม่มีผิด แต่ต่างกันก็ตรงที่ตลาดน้ำท่วมมาก ๆ ถึงครึ่งเข่า ขาเนี้ยเปียกซกเลยเดินลุยน้ำกันเลยหละ 555 (ติ๊กโทร.มาบอกว่าน้ำทะเลหนุนน้ำขึ้นมาก ๆ ให้ใส่ขาสั้นมาจ่ายตลาด)เรารีบโทร.หาหนุ่ยตอนเช้าเลยว่าน้ำจะท่วมนะ ให้เปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นมา หนุ่ยเซ็งเลยตอนแรกใส่ขายาว กับรองเท้าผ้าใบ (ซื้อใหม่) เลยต้องเปลี่ยนเป็นกางเกงทหารกับรองเท้าแตะ ลุย

ที่ตลาดหมาชัยตรงท่าน้ำ น้ำขึ้นมาก ๆ ไม่เคยเห็นเรือลอยขึ้นสูงแบบนี้มาก่อนเลย และน้ำทะเลก็ปุด ๆ เตรียมจะท่วมตลาดแล้ว จึงรีบซื้ออาหารกันใหญ่ ไม่ได้เดินเลือกเลย เจอเจ้าไหนก็คว้าเลย ช้าไม่ได้หรอกเดี๋ยวน้ำจะขึ้นถึงหน้าอก 555 บางคนว่ายน้ำไม่เป็นด้วยสิ พอซื้อเสร็จก็มุ่งหน้าสู่แก่งกระจานนนนน






















ระหว่างทางแวะซื้อขนมครกชาววังที่ปั๊มน้ำมันตรงวังมะนาวก่อน (หมูตอนบอกว่าขนมครกเจ้านี้อร่อย...จัดไปอย่าให้เสีย) รสชาดก็อร่อยดี แต่เราว่ามันหวามไปนิดนึง ถ้าน้อยกว่านี้จะดีมั๊ก ๆ






















ขับต่อไปก็แวะทานอาหารเช้าที่ร้านเพชรเพิ่มพร อาหารประเภทคนใต้เลยรสจัด ๆ ตอนแรกจะเดินออก แต่มองไปทุกโต๊ะ ทานกันเกลี้ยงเลย สงสัยจะอร่อย จึงเปลี่ยนใจเข้าไปสั่งใหม่ รสชาดก็ไม่ค่อยจะโดนสักเท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าร้านข้าวแกงกัลณิการ์กว่าเป็นไหน ๆ ร้านนั้นประทับใจสุด ๆ จนถึงทุกวันนี้เลย 555





ถึงอช.แก่งกระจาน 10 โมงกว่า ๆ เข้าไปติดต่อขอกุญแจบ้านพัก และจองรถเพื่อไปชมทะเลหมอกตอนเช้า โชคดีมั๊ก ๆที่มาเร็ว เพราะเป็นรถคันสุดท้ายพอดี คนขับชื่ออึ่ง เป็นเจ้าหน้าที่อช.เก่าแต่ลาออกมาเพื่อขับรถรับจ้างแทนเพราะรายได้ดีกว่า จึงตกลงแลกเบอร์กันให้มารับตอนตี่ห้า ที่บ้านพักพรุ่งนี้ และพวกเราก็เข้าบ้านพักเพื่อประกอบภาระกิจที่ทุกคนรอคอย













บ้านพักน่ารักดี สีเขียว มีระเบียงชมวิวของเขื่อนด้านหลัง โรแมนติกดี ข้าง ๆ บ้านเป็นศาลาชมวิว แต่ไม่มีใครมาชมเลย เพราะเค้าจำกัดไว้ ไม่ให้ใครมากางเต้นท์ในที่นี้ได้ จึงกลายเป็นที่พักส่วนตัวจริง ๆ แต่รอบ ๆ เขื่อนสิ เต้นท์กางกันให้บึมเลย แทบจะเกยกัน ฮ้อนบอกว่าใครจะทำอะไรกันเนี่ยเต้นท์ข้าง ๆ ได้ยินเลย แหมช่างคิดได้นะ ใครน้ามันจะทำอย่างนั้น เออ ถ้าเต้นท์ห่าง ๆ กันก็ว่าไปอย่าง 555












เก็บของเสร็จก็ช่วยกันล้างอาหารทะเล ที่ขนซื้อกันมา (ตอนแรกหนุ่ย บอกว่าสงสัยจะไม่พอ เพราะว่าเวลากินเยอะมาก ๆ กินตั้งแต่เที่ยงไม่มีเวลาจำกัดสงสัยจะไม่อิ่มแน่ ๆ เลย...ว้า เบียร์ก็เพียบ... SPY ก็เยอะสงสัยกับแกล้มจะน้อยไปแล้วเซ็งเป็ด...หนุ่ยบอกนะ อันนี้หนุ่ยบอก)












ปล่อยสาว ๆ ย่างอาหารกันไปก่อน เรากับฮ้อนออกไปซื้อข้าวสวย และฮ้อนอยากกินต้มยำ จึงขับออกไปที่ตลาด ซื้อเครื่องต้มยำ ,ส้มตำ,ข้าวสวย,ข้าวเหนียว,ข้าวโพด พอกับมาอาหารก็สุกพร้อมทานแล้ว ลงมือเลยสิ ไม่ รอช้าแล้ว (คราวนี้แม่หมวยแก้ตัวเรื่องน้ำจิ้มซีฟู้ดใหม่ เอามาเยอะกว่าครั้งที่แล้วอร่อยฝีมือยังไม่ตกนะเนี่ยแม่ใครก็ไม่รู้)   .....ติ๊ก + พี่ผ่อง กิน SPY เรากับหนุ่ย กินเบียร์กระป๋อง ส่วนฮ้อน+โป้ง กินแป็ปซี่ แข่งกันว่าใครจะกินได้มากกว่ากันสนุกดี แต่ที่ไม่สนุกก็คือไม่ได้เอาที่เปิดขวดมาด้วยเนี่ยสิ เปิดยากมาก ๆ กว่าจะได้แต่ละขวด ก็ดูผู้ชาย 2 คนสิเล่นกินแป๊ปซี่ แล้วแบบเนี้ยจะเปิดคล่องเหมือนมืออาชีพได้งัย แต่ฮ้อนกับโป้งก็ทำจนได้ ถ้าเป็นเราป่านเนี้ยคงได้แต่นั่งมองไปแล้วหละ












เห็นก้อนดำ ๆ ข้าง ๆ ข้าวโพดป่ะ มันคือฟักทอง (นิโกร) ไอ้ฮ้อนเห็นในรายการตลาดสดสนามเป้าเลยซื้อมาทำบ้าง แต่ใจร้อนย่างไฟแรง ๆ แค่ครึ่งชั่วโมงดำสนิท ในทีวีเค้าย่างกันตั้ง 3 ชั่วโมง มันจึงน่ากลัว ถ้าย่างไฟอ่อน ๆ เหมือนกับเค้ามันคงจะอร่อยแน่นอน











หลังจากบรรจุอาหารลงในกระเพาะจนเต็มแล้ว หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน จึงพร้อมใจกันมานอนพักเอาแรง เพื่อรอให้แดดร่มลมตดก่อน ค่อยไปเดินเล่นสะพานแขวน










ห้าโมงกว่า ๆ พระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้ว เดี๋ยวมืดตุ๊กติ๊กเรียกให้ไปถ่ายรูปที่สะพานแขวน ก่อนไปดาราหน้ากล้องเจ้าประจำขอถ่ายรูปตรงระเบียงก่อนไป รูปแรก....วันนี้ไม่ขายส้มตำเหรอ...อ้าวมองในย้อนแสงเหมือนน้อยโพธิ์งามเลย 555...... ปล.รูปที่ 2 สวยหว่ะ (แก้ตัวใหม่)


ที่สะพานแขวนคนเยอะมาก กางเต้นท์กันเยอะแยะ (ล้นมาจาก ตรงที่ทำการ)  เราหยอดเงินใส่ตู้ซื้ออาหารปลาไป แต่ไม่ได้ให้เพราะว่าลอยเต็มเขื่อนเลย คนก็เยอะ จึงไม่ได้เดินเล่นที่สะพาน ถ่ายตรงหัว
สะพานเอา แบบว่าคนเยอะมาก กลัวสะพานขาด 555












กลับมาที่พัก พระอาทิตย์ตกไปแล้ว เสียดาย จึงได้เก็บภาพมาแค่นี้












อาหารเย็นอีกแล้ว ..... เร็วง่ะ (ของเก่ายังไม่ย่อยเลย) มื้อเย็น ทำต้มยำกุ้ง,ปลาหมึกทาน โอ้โห...ผู้กำกับเพียบเลย ผู้หญิงทั้งนั้น สั่งให้ตัวแสดงชาย (เจ้าโป้ง) เป็นคนทำต้มยำ น้ำเดือดใส่เครื่องต้มยำสิ....ใส่เห็ดนางฟ้าสิ... ใส่กุ้ง... ใส่ปลาหมึกดิ๊ กุ้งนะแกะเปลือกเอาขี้ออกด้วย ใส่น้ำปลาดิ๊ สุดท้ายใส่มะนาว เอ้าคน ชิม... อื้อหือ..รสชาดไม่ไปไหนเลย น้ำปลาไม่พอ เกลือก็ไม่มี พี่ไพ่ผ่อง กับติ๊กเข็ด เดินไปขอเกลือที่บ้านพักเจ้าหน้าที่ (ตอนขากลับจากเดินเล่นสะพานแขวน เจ้าหน้าที่เดินคุยกันมาอยากบอกว่า ต้องการความช่วยเหลืออะไรให้มาที่บ้านได้ มีลูกสาวอยู่ ดูหนังได้ด้วยนะ) เสนอมาก็สนองทันที 555 จึงได้เกลือมาช่วยให้ต้มยำหม้อนี้มีรสชาติขึ้นมาทันที และใช้น้ำจิ้มของแม่หมวยช่วยอีกแรงจึงโอเค อร่อยกว่าร้านอาหารบางร้านเสียอีก 555
ทานกันไป มองนาฬิกากันไป โทรทัศน์ก็ไม่มีให้ดู (เปิดทีวีของไอโมบายของเราสัญญานก็ไม่ค่อยมี) ทำงัยหล่ะ วันนี้วันพ่อด้วยต้องจุดเทียนชัยและร้องเพลงสดุดีด้วย หนุ่ยจึงโทร.หาแม่ บอกว่าถ้าจุดเทียนแล้ว ให้รีบโทร.มาบอกด้วยจะจุดพร้อมกัน ...........












ท่อนนี้...ปากจู๋ทุกคนเลย555
เงียบกริ๊บ... ไม่มีเสียงโทร.จากแม่ซะที ทุ่มจะครึ่งแล้ว ทำไมยังไม่โทร.มาอีกนะ จึงออกมาที่ระเบียงลองเปิดทีวีทางมือถือดู ตายแล้ว.... เพลงสรรเสริญร้องแล้ว รีบจุดเทียนชัย 9 ดอก และร้องเพลงสดุดี ด้วยกัน (ครั้งแรกในชีวิต ที่ได้ยินเสียงของฮ้อนกับโป้งร้องเพลง ไม่น่าเชื่อเลยว่า 2 คนนี้ร้องเพลงเป็นด้วย เป็นบุญหูของพวกเราจริง ๆ) ร้องเพลงเสร็จขอให้ในหลวงของเราทรงพระเจริญ และหายจากพระประชวรโดยเร็ว และอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของปวงชนชาวไทยตลอดชั่วกาลนานเทอญ

แยกย้ายกันอาบน้ำ เข้านอน เพราะพรุ่งนี้ตีห้า รถเช่าจะมารับเพื่อไปดูทะเลหมอกกัน ราตรีสวัสดิ์...
ยัง..ยัง คืนนี้ยังไม่จบ ไอ้ฮ้อนโรคทางเดินหายใจกำเริบ จึงออกไปนอนข้างนอก ตอนตี 1 กว่า ๆ ตุ๊กติ๊กลุกเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงไอของไอ้ฮ้อน  นึกว่ามันอยู่ในห้องอาบน้ำ จึงเปิดประตูเข้ามาโวยวายใหญ่ ว่าไอ้ฮ้อนมันเป็นอะไรไม่รู้ มันนอนในห้องอาบน้ำนานแล้ว ฉันเข้าห้องน้ำ 2 รอบก็ได้ยินเสียงมัน เราตกใจรีบลุกไปดูนึกว่ามันเป็นอะไรในห้องน้ำ เอะ...มันก็นอนที่โต๊ะไม้ตรงครัว ไม่เห็นจะนอนในห้องน้ำเลย แม่เจ้าประคุณรุนช่อง...แค่ชะโงกหน้าไปดูก็เห็นมันนอนแล้ว เล่นซะตื่นกันหมดเลยยยย

ตีสามครึ่ง พี่ไพ่ผ่องตื่นมาอุ่นหมูปิ้ง กับนึ่งข้าวเหนียว เพื่อนำติดตัวไปทานบนเขาพะเนินทุ่ง ทุกคนพร้อมหมด (ไม่อาบน้ำหรอก ไม่ทัน) ยกเว้นฮ้อน ไม่ไปจึงให้มานอนในห้อง และว่างก็เก็บข้าวของไปพลาง ๆ ตอนตื่น ตีห้าตรง อึ่งมารับตรงเวลา เราขึ้นรถตรงไปสามยอด ด่านแรกก่อน ใช้เวลาประมาณ 50 นาที อึ่งบอกว่า เดี๋ยวช่วงบน ต้องไปนั่งกะบะหลังเพื่อถ่วงท้ายด้วย ดีนะที่เรากับหนุ่ยเตรียมนำไอ้โม่งมาด้วย
พอรถมาถึงบ้านกร่าง สักพักรถติดแล้วครับบบบ  เรา , หนุ่ย,โป้ง จึงไปนั่งหลังแทน อากาศไม่หนาว แค่เย็นสบาย ๆ






















เกือบ 7 โมงครึ่งถึงเขาพะเนินทุ่ง จุดชมวิว กม.30  คนเยอะมาก ๆ ทะเลหมอกก็เยอะดี (มากกว่าหลาย ๆ ที่ในภาคเหนือเสียอีก)





ถ่ายรูปกันได้สักพัก ก็มานั่งทานข้าวเหนียวหมูปิ้งและกุ้งรวนเค็มกัน อร่อยดี (ข้างบนมีมาม่าต้ม ,กาแฟขายด้วยแต่ไม่ได้กินเงินเราหรอกเพราะว่าเราเอาอาหารขึ้นมาเอง 555)



กินเสร็จก็มาถ่ายรูปกันอีก แปลกจัง....เช้าแล้ว ค้างคาวยังไม่กลับรังอีกเหรอ ดูดิ๊ ถ่ายตรงไหน ค้างคาวแม่งบินอยู่ด้านหลังอยู่ได้ ไอ้สาดดดดด  


ค้างคาวบินไปแล้ว .......ยังไม่หมด มีกระสืออีกแหนะ 555

หลังจากถ่ายรูปเสร็จตอนแรกจะไปจุดชมวิว กม.33 และ 36 เค้าว่าสวย และใกล้ชิดกว่าจุดนี้อีก แต่ว่ารถเยอะและนักท่องเที่ยวเยอะเหมือนหนอน กลัวไม่มีที่จอดรถถ้าขับไป จึงไม่ไป และนั่งรอเวลา 9 โมงเพื่อจะลงเขาเนื่องจากต้องเช็คเอาท์ ตอนเที่ยงด้วย


รอ รอ รอ แล้วก็รอ 9 โมงแล้วรถที่มาจากข้างล่างยังขึ้นมาไม่หมดเลย ได้เวลาลงแล้ว (รถขึ้น-ลงได้ทางเดียวสวนกันไม่ได้ต้องขึ้นลงเป็นเวลา) พอ 9 โมงกว่า ๆ รถเริ่มลงกันแล้ว คนขับรถเรา ยังนั่งเฉยอยู่เลย ใจเย็นโครต ๆ นั่งอยู่ได้ เลยให้โป้ง กับพี่ผ่องไปเร่ง หายไปกัน 2 คน เราเลยไปตาม เนี่ยเค้าลงกันแล้วนะ ต้องคืนห้องด้วย เค้าถึงยอมลง เวร..... ไม่เรียกก็ไม่ลง (ผ่านจุดไหน จอดทักเจ้าหน้าที่ทุกจุดเลย ...เวรอีก...ตอนแรกก็คิดว่าโชคดี แต่ตอนหลังคิดว่าโชคร้ายแล้วหละ) ถึงบ้านพัก 11โมง 45 นาที ฮ้อนน่ารักมาก เก็บข้าวของเสร็จแล้ว เตรียมขึ้นรถได้ เรารีบอาบน้ำ (เป็นประจำเดือน ระทวยจริง ๆ เลย ยังไม่ถึงกำหนดเลยสงสัยจะกินเบียร์และหอยแครงไปกระตุ้น) ส่วนคนอื่น ๆ ไม่อาบเพราะไม่ทัน กลัวนักท่องเที่ยวรอบต่อไปจะรอห้องนาน เป็นคนดีกันมากเลย... บ้านหลังอื่น ไม่เห็นรีบเลย ยังอาบน้ำนุ่งผ้าถุงกันอยู่เลย

ออกมาคืนกุญแจห้องพักที่ทำการ หนุ่ย,ติ๊ก,พี่ผ่อง ซื้อเสื้อคนละตัวเป็นที่ระลึก เพื่อช่วยทำบุญให้กับอุทยานฯ ออกจากแก่งกระจาน ก็แวะทานอาหารที่ร้านอะไรเพชร ๆ เขื่อนเพชร หรือแก่งเพชร จำไม่ได้ คนเต็มร้านเลย บรรยากาศที่ร้านดีมาก ๆ ริมเขื่อนสวยดี อากาศเย็นสบาย  เมนูที่สั่งคือปลาแรดทอดกระเทียมกับน้ำจิ้มขนมหวาน,ไข่เจียวไม่ใส่น้ำปลา,ผัดฉ่าปลากดปรากฏว่าไม่อร่อย,ผัดผักรวมมิตรแต่เป็นศัตรูกับน้ำมันหอย,ยำผักกระเฉดรสชาติไม่จัด,ข้าวสวย 1 โถและสั่งเพิ่มอีก 2 จาน(ขนาดไม่อร่อยนะเนี่ย) พอเรียกเก็บเงิน 620 บาท ร้านลืมคิดข้าวเปล่าอีก 2 จาน ตอนแรกก็อยากจะบอกกับทางร้านแหละ แต่รสชาติอาหารไม่ได้เรื่องเลย จึงไม่บอกหรอกจ่ายเงินแล้วออกเลย 555




















มุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ แวะซื้อลูกตาลสด,น้ำตาลสด กลับบ้านเป็นของฝาก เนื่องจากระหว่างทางไม่มีของฝากอะไรเลย รอคนขายปอกนาน แต่ก็เพลินดี สงสารเค้าเหมือนกันปอกให้เราไม่หยุดมือเลยเมื่อยแทนและเสียวมีดบาดด้วย พวกเราเล่นซื้อกันตั้ง 9 ถุง (3 ถุงร้อย)

ขากลับพวกเพื่อน ๆ ในรถอิจฉาเรากันใหญ่ (คนทำบุญมาดีก็งี้แหละ) ที่มีสามีดี รู้ไปทุกเรื่อง เล่าเรื่องได้หมด ความรู้เยอะแยะเลย พูดไม่หยุดเลย พูดอะไรไปคนข้างหลังมองหน้ากัน แล้วอมยิ้มกันใหญ่ หือ....อิจฉากันแล้ว อิจฉากันอีก ถ้าไม่มีบุญจริง ๆ ไม่มีทางได้นะเนี่ย 555

ส่งติ๊กเข็ด และพี่ไพ่ผ่องกลับบ้าน มีเงินเหลือคืน คนละ 320 บาท และส่งโป้งที่ป้ายรถเมล์หน้าบ้านเนื่องจากวันนี้ที่มาสเตอร์วูด ทำงาน จึงต้องนั่งรถไประยองเอง น่าสงสารจัง ต้องนั่งรถไฟฟ้าไปอนุสาวรีย์ชัยฯ และต่อรถตู้ไป (เห็นจะจริงอย่างที่หมอลักษณ์บอกจริง ๆ ว่าช่วงนี้ราศีธนูดวงไม่ดี โป้งโดนไปเต็ม ๆ แถมยังไม่มีบ้านอยู่อีก งานเข้า .....งานเข้ากรูเนี่ยแหละ555)

ส่วนหนุ่ยแวะที่บ้านเราก่อน เพื่อมาดูหน้าหลาน (ไอ้บุญธรรม) และเอาเต้นท์,ขาตั้งกล้องไปให้หมู กับพี่จืด เพราะพรุ่งนี้ 3 คน พ่อแม่ลูกจะไปเที่ยวเหนือกัน อิจฉาจริงพวกรัฐวิสาหกิจ ลาต่อเนื่องได้เป็นอาทิตย์
ส่งหนุ่ยกลับบ้านเสร็จ ไอ้ฮ้อนไม่สบายขึ้นมาอีก เฮ่อ..เวรกรรมวันนี้ยังพูดแจ๋ว ๆ พอถึงบ้านปุ๊บจะตายปั๊บเลย ร่ายกายมันแย่มาก สงสัยต่อไปนี้คงไม่ได้นั่งรถไปเที่ยวไกล ๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้วตราบใดที่มันยังทำงานอยู่ที่นี่แย่จัง..... หรือว่าฟ้าลิขิตมาให้เราต้องนั่งเครื่องบินไปเที่ยวแล้วหละมั๊ง ไม่ต้องไปหวังพึ่งไฮ้ฮ้อนขับรถให้ 555 ทริปหน้าหลังปีใหม่จะมาเล่าให้ฟังว่านั่งเครื่องบินครั้งแรกในชีวิตเป็นอย่างไรพบกันทริปหน้า เชียงราย-เชียงใหม่ 10-12 มค.53 จ้า บ๊ายบาย จุ๊บ ๆ

ค่าใช้จ่าย บ้านพัก 1200บาท, กุ้งหัวโต 1 โล 120บาท,ปู 2 โล 375บาท,หอยแครง 1 โล 40บาท,กุ้งสะดุ้ง ไม่รู้กี่โล 300บาท(ซื้อมากกว่าครั้งแล้วมิน่าหละกินจนจะอ๊วกอยู่แล้วยังเหลือบึมเลย) ปลาหมึก 180บาท,ลอดช่อง 35บาท,ขนมครก 20บาท,ข้าวแกงเพชรเพิ่มพร 220บาท,น้ำแข็ง+แป๊ปซี่ 85บาท,เครื่องต้มยำ 40บาท,ข้าวสวย 30บาท,ส้มตำ+ข้าวเหนียว 90บาท,ข้าวโพด 20บาท,ค่าเข้าอช.270บาท,อาหารปลา 20บาท (ไม่ได้ให้ด้วย) โออิชิ 50 บาท,ค่าเช่ารถ 1600บาท,อาหารริมเขื่อนแสนอร่อย 620บาท น้ำมันรถ 580 รวม 5895บาท หาร 5 คน คนละ 1179 บาท

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อุทัย....ทริป 24-25 ตุลาคม 52

วันปิยะปีนี้เป็นวันศุกร์แต่บริษัทฯติ๊กเข็ด, พี่ไพ่ผ่องและฮ้อนสลับวันหยุดเป็นวันเสาร์แทน .... เป็นเรื่องนะสิมีคนหยุดติดต่อกัน 2 วันต้องหาสถานที่ไปเที่ยวแล้วง่ะเอาแบบใกล้ๆกรุงเทพฯเราจึงเลือกจังหวัดอุทัยธานีก็แล้วกันเพราะเห็นนักท่องเที่ยวไปมาสวยดีแถมไปไหว้พระด้วยส่วนเรากับเจ้าโป้งไม่ได้หยุดนะจึงใช้พักร้อนแทนแบบว่าพักร้อนเหลือเยอะใช้ไม่หมดส่วนหนุ่ยป๊อดก็ลาพักร้อนกับแม่เหมือนกันคนอะไรวะมีพักร้อนตั้ง 300 นะกว่าวันแห (ยกเว้นวันออกห .... ห้ามหยุดนะเพราะไม่มีใครทำงานแทน 555) เราได้จองห้องพักที่พญาไม้รีสอร์ทและซื้ออาหารทะเลไปย่างกินกันลืมบอกไปว่าช่วงที่จะไปเป็นช่วงกินเจพอดีเลยจึงกินเจกันได้ไม่ครบ 9 วันหรอกต้องออกก่อนแบบว่าไม่ค่อยเห็นแก่กินเลยนะพวกเรา

6 โมงครึ่งหนุ่ยป๊อดกับเจ้าโป้งมารอที่ป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้านเราไม่ได้ไปรับเนื่องจากฮ้อน (ลืมไปนายทหาร) ทำงานครึ่งคืนกลับมาตีสองครึ่งเราจึงให้นอนตุนไว้ก่อนจะได้เก็บแรงไว้ขับรถถึงบ้านติ๊กเข็ด 7 โมงนิดๆพี่ไพ่ผ่องซื้อปลาหมึกกับกุ้งไว้เรียบร้อยแล้วแต่ยัง .... มันยังไม่พอเราต้องการกินกุ้งที่ย่างแบบกุ้งกระทะและยังขาดปูอีกจึงนั่งรถไปซื้อปูกับกุ้งกันอีกรอบงานนี้กะว่าจะกินกันให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลย

ออกจากมหาชัยก็มุ่งหน้าสู่อุทัยกันเลยพอผ่านจ. อยุธยาแวะทานก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นที่ปั๊มบางจากรสชาติอร่อยดีชามใหญ่มากๆ (แต่ข้างในติ๊ดเดียว) ทานเสร็จก็ไปกันต่อ
                                                                                                                


                                                                                                        



ถึงอุทัยธานีแล้วตามโปรแกรมต้องแวะไหว้พระที่วัดเอ๋ย .... วัดโบสถ์หรือวัดอุโบสถารามลืมบอกไปอีกว่าอุทัยธานีเป็นจังหวัดเล็กๆที่ใครๆก็ขับผ่าน (แต่มีดีอยู่ในตัวพอสมควรคนมีบุญเท่านั้นแหละที่ได้ไปพิสูจน์ 555) และตัวเมืองถนนหนทางก็ซับซ้อนมากๆสงสัยจะหลงแล้วง่ะจึงให้โป้งเดินลงไปถามทางกับแม่ค้าว่าวัดโบสถ์ไปทางไหน ... อุ๊แม่เจ้าแม่ค้าชี้ไปข้างหน้าที่จอดเนี่ยแหละหน้าวัดโบสถ์ต้องจอดรถและเดินข้ามสะพานไปหรือจะขับรถอ้อมไปชี้ไปทางนู้นซอยอะไรก็ไม่รู้ก็ได้รถสามารถจอดที่วัดได้เลยพวกเราเลยจอดรถตรงนี้และเลือกที่จะเดินข้ามสะพานไปดีกว่า


                                                                                                               










มาถึงตอนเที่ยงๆพอดีเลยแดดร้อนโครๆต (ก่อนหน้าที่จะไป 1 วันฝนตกสุดๆเลยตอนแรกคิดว่าเที่ยวครั้งนี้คงชุ่มช่ำเปียกฝนแน่ๆแต่ผิดคาดง่ะ) สะพานที่ข้ามไปทอดผ่านแม่น้ำสะแกกรังวิวสวยดีบรรยากาศน่าอยู่มองไปข้างหน้าเห็นวัดโบสถ์พร้อมกับเจดีย์ 3 องค์สวยดี (วัดนี้ร .5 ทรงมาเสด็จประพาสและได้ประทับที่แพหน้าวัดด้วยแหละ)























ออกจากวัดโบสถ์ก็นี่เลยต้องไปกินก๋วยเตี๋ยวตู้ไม้ตามโปรแกรมในอินเทอร์เน็ตแป๊ะๆพอถามป้าที่นั่งถักผ้าที่หน้าวัดว่าร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ตู้ไม้ไปทางไหนตรงไฟแดงนะป้าบอกไม่รู้จัก ..... (ชักจะยังงัยแล้วไม่ได้สังหรณ์ใจเลย) ไม่รู้ก็ไม่เป็นไรไปเองก็ได้


ขับมาได้พักสัก (12.38 น.) ตรงไฟแดงก็เห็นร้านก๋วยเตี๋ยวตู้ไม้พอดีเลย (จำร้านและคนขายจะในเว็บไซต์) ดีใจใหญ่รีบลงไปสั่งทานกันคนละชามร้านเล็กๆโต๊ะนั่งมีไม่กี่ตัวโชคดีที่ไปยังพอมีที่นั่งสำหรับพวกเราพอก๋วยเตี๋ยวมาไม่รีรอรีบกินทันที่แต่ ... แต่ ... มันเป็นเพียงคำบอกเล่าของชาวเน็ตที่บอกว่าอร่อยแต่มันไม่ค่อยจะถูกปากเราเท่าไหร่เลยหรือว่าพวกเรากินไม่เป็นก็ไม่รู้จึงคิดว่าเป็นก๋วยเตี๋ยวธรรมดาบางคนก็เจอเส้นแข็งๆเพราะว่าลูกค้าเยอะสงสัยคนขายจะรีบลวกเส้นเร็วไปหน่อยร้านแรกอร่อยกว่าแต่ก็นานาจิตตังนะเพราะว่าโต๊ะข้างๆทานกันใหญ่แถมเปิ้ลอีกหลายๆชามแต่เราบายขอ ... มุ่งหน้าสู่รีสอร์ทดีกว่าอาหารทะเลรอเราอยู่

                                                                                                                                              






                                                      
ออกจากร้านก๋วยเตี๋ยวก็ขับรถไปเรื่อยๆหลงอีกแล้งง่ะจึงถามทางอีก (จนจบทริปจะถามกี่ครั้งหนอ) ก็และเข้าสู่ถนนที่จะไปพญาไม้รีสอร์ทเอ๊ะ ... มีป้ายวัดโบสถ์เอ๋ยโธ่ ... ทางไปรีสอร์ทกับทางไปวัดโบสถ์เข้าทางเดียวกันเลยเวรกรรม

ถึงพญาไม้รีสอร์ทตอนบ่ายโมงยังเข้าห้องไม่ได้เนื่องจากแขกที่พักเมื่อวานเช็คเอ้าท์ช้าแม่บ้านจึงทำความสะอาดไม่ทันเวร ... ร้อนก็ร้อนเดินเล่นรอบๆถ่ายหมาถ่ายแมวไปตามประสา


















ห้องใหญ่ผู้หญิงนอนกัน 4 คนส่วนหลังเล็กห่างจากบ้านผู้หญิงให้โป้งกับฮ้อนเฮ้ย .. ไม่ใช่สิให้แอร์ (เณรแอ) กับตาวนอนด้วยกันต่างหากผิดแผนนะเนี่ยตามโปรแกรมไม่ได้จัดอย่างนี่นะเซ็ง ... ไม่ทำตามที่จัดไว้คราวหน้าจะไม่จัดให้ไปเที่ยวกันแล้วดื้อจริงๆไม่เชื่อฟังกันเล้ยยยยย






เข้าห้องพักได้ก็นอนดูโทรทัศน์ฆ่าเวลาเพราะไม่สามารถย่างอาหารทะเลได้เนื่องจากแดดยังเยอะอยู่เดี่ยวตัวดำ (คุณแม่จะว่าได้) พอได้เวลาบ่ายๆติ๊กเข็ดชวนไปล้างอาหารทะเลกันจะได้ปิ้งเสียที (สงสัยจะหิว) เดินหาก๊อกน้ำที่จะล้างหาไม่เจอจึงถามลุงเจ้าหน้าที่ว่าล้างที่ไหนเจ้าหน้าที่บอกว่าล้างที่แม่น้ำตรงแพหน้ารีสอร์ทพวกเราจึงไปล้างอาหารกันที่แม่น้ำได้บรรยากาศดีๆจริง












ล้างเสร็จแดดหมดพอดีจึงเริ่มย่างกันเลยและทิ้งตาวกับหนุ่ยย่างอาหารทะเลกันสองคนส่วนพวกเราไปซื้อของที่ตลาด (หนุ่ยปวดหัวฝากซื้อพาราอ้างว่าอากาศร้อนจัดและมาโดนแอร์ไม่รู้ว่าเป็นข้ออ้างหรือว่าแก่ชราขึ้นก็สิไม่รู้ ... ทริปนี้มีแต่คนป่วยคนหนึ่งปวดหัวคนหนึ่งปวดเข่าโอ๊ะ .... นี่มันอาการของคน .. คนอะไรน้า ..... คุ้นๆส . อะไรน๊า ...... อ๋อสว. งัย)

ขับรถออกมาจ่ายตลาดไม่ถึง 5 นาทีเลยจอดรถที่วัดโบสถ์เพื่อข้ามสะพานเมื่อตอนเที่ยงที่เราเดินก้นเพื่อไปตลาด (เอยโธ่ ... วัดโบสถ์ตลาดรีสอร์ทอยู่ใกล้ๆกันเลยทำงัยได้ก็เราม่ายช่ายคนแถวนี้นิ 555)


ตลาดไม่ใหญ่มีผักและอาหารสำเร็จขายเหมือนๆที่บ้านเราเนี่ยแหละพวกเราซื้อปลาทับทิมและขอน้ำจิ้มเพิ่มเนื่องจากแม่หมวยทำน้ำจิ้มมาน้อยมั๊กมากๆไม่พอกินแน่ๆและได้ซื้อเกลือกับมะนาวมาด้วยเผื่อน้ำจิ้มที่ซื้อหวานจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที (มุ่งมั่นกันมากๆเลยกับอาหารทะเลมื้อนี่) และซื้อข้าวสวย, มะละกอ, น้ำแข็ง, เป็ปซี่, ยา, ทิชชู่, น้ำผลไม้ส่วนเบียร์ไม่ได้ซื้อง่ะเนื่องจากหนุ่ยปวดหัว (อดเลยตรู)

กับมาถึงอาหารก็ย่างเสร็จแล้วบางส่วน ..... ลุยเลยดิ๊หิวโครตๆจึงทานกันที่หน้าบ้านพักแต่ยุงชุมจริงๆแถมดุด้วยง่ะกินไปตบไปทรมานมากๆสักพักเจ้าหน้าที่นำยากันยุงมาแต่ให้ ... แต่มันช่วยอะไรไม่ได้เลยง่ะเพิ่งจะเห็นว่ายุงร้ายกว่าเสือก็คราวนี้แหละยากันยุงมันไม่กลัวเล้ยแบบว่ามันเป็นยุงภูเขานะไม่เคยกินของทะเลจึงสู้ตายตายเป็นตายครั้งหนึ่งในชีวิตก็ยอมกรูขอชิมอาหารทะเลและเลือดหวานๆของสว. ก่อนตายก็ยังดี












แต่แล้วเราก็สู้ยุงไม่ได้จึงไม่เกรงใจรีสอร์ทแล้วนำอาหารมาทานในห้องเลยดีกว่า (ช่างมันไม่ช่ายห้องเราเป็นห้องผู้ชายเหม็นก็ไม่เป็นไรแอร์ (แอเณร) กับตาวไม่ซีเรียสคืนนี้ทนนอนดมกลิ่นได้พอเข้ามาเหมือนขึ้นสวรรค์เลยง่ะไม่มียุงมารบกวนแถมอาหารก็แสนอร่อยกินจนพุงกางเลยอร่อยทุกอย่างชอบกันคนละอย่างจริงๆเราชอบปู, เณรแอกินปลาหมึกกับปลาทับทิม, หนุ่ยป๊อดกับตาวชอบกุ้งตัวโต (โตหัว) พี่ไผ่ผ่องกับติ๊กเข็ดชอบกุ้งสะดุ้ง (ติ๊กเข็ดกินกุ้งเยอะมากๆไม่สามารถกินอะไรต่อได้อีกเนืองจากกุ้งที่กินมันหลามตั้งแต่กระเพาะจนถึงคอหอยแล้วทุก 555) คนหยุดหมดแล้วไม่สามารถไปต่อได้เหลือตาวกับหนุ่ยกินกุ้งไปเรื่อยๆจนหมดเหลือแต่หัวจึงต้องทิ้งเพราะว่าไม่สามารถที่จะยัดอะไรเข้าไปในร่างกายได้อีกแล้วจึงยุติมื้อค่ำเพียงเท่านี้เก็บภาชนะล้างอาบน้ำนอนเนื่องจากเพลียมากๆและพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาใส่บาตรพระกันราตรีสวัสดิ์ (ลืมไปนอนไม่ค่อยสบายเนื่องจากหมอนสูงมากๆถ้าเตี้ยๆนิ่มๆกว่านี้จะดีมากๆเลย)














6.30 น. ตามเวลานัดพระจะพายเรือมาบิณฑบาตรแต่ยังไม่ถึงเวลาเลยตาวมาเรียกหน้าห้องว่าพระมาแล้วอะไรว๊ะ .... รีบกุลีกุจอไปใส่บาตรที่แพกันเลย







อาหารใส่บาตรตอนแรกคิดว่าเป็นข้าวสวย, กับข้าวแต่ไม่ใช่เป็นอาหารแห้งแต่ก็ไม่เป็นไรใส่ด้วยใจอะไรก็ได้ถือว่าได้บุญเหมือนกันสาธุ ....












ใส่บาตรเสร็จก็พายเรือเล่นกันเพราะว่าอากาศดีถ้าเป็นหน้าหนาวคงจะสวยน่าดูพี่ไพ่ผ่องชวนไปพายบอกว่าเราไปบ้านหลังตรงข้ามกับรีสอร์ทสวยดีไปกัน 5 คนแอร์ไม่ไปเนื่องจากกลัวน้ำเราพายท้ายหนุ่ยพายหน้าเหนื่อยฉิบเป้งเลยเรือมันทู่ๆแถมขากลับพายทวนน้ำอีกเล่นเอาเหงื่อแตกเลย







                                                                                                                        











พอใกล้ถึงฝั่งตาวขอพายบ้างเราจึงให้ติ๊กเข็ดลองพายท้ายดู ..... เชื่อเลยคนพายเรือไม่เป็นมันหมุนติ้วเลย 2 คนนี้ควงสว่าน 2 รอบเลย 555











พอจะเข้าฝั่งจึงให้พี่ไพ่ผ่องพายบ้าง .... โหสุ่มเงียบนะพายเป็นก็ไม่บอกรู้งี้ให้พายตั้งนานแล้ว 555













เวลาเหลืออีกพอสมควรก่อนอาหารเช้าจึงขี่จักรยานเล่นกันเราขี่ได้นิดเดียวแต่ไม่ค่อยคล่องจึงขอตัวปล่อยให้หนุ่ยแอร์ (เณรแอ) และตาวขี่เล่นแถววัดโบสถ์เพื่อฆ่าเวลา















หลังจากขี่จักรยานเล่นเสร็จก็มาทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารติ๊กเข็ดเปลี่ยนเป็นติ๊กเซ็ง ... เพราะอยากทานข้าวต้มแต่ทางรีสอร์ทไม่มีมีแต่อาหารเช้าแบบอเมริกันแต่เราว่าไม่ใช่อยากทานข้าวต้มหรอกน่าจะอยากทานข้าวเหนียว + หมูปิ้งจะมากกว่า 555













ตามโปรแกรมหลังอาหารเช้าจะต้องไปล่องเรือชมความงามและวิถีชีวิตของชุมชนแม่น้ำสะแกกรังตอน 8.30 น. พอใกล้เวลาไปรอที่ท่าเรือปรากฏว่าเรือออกไปแล้วอ้าว .... ก็ไหนบอกว่าออกตอน 8.30 น. ไหงออกก่อนว๊ะไอ้ซับฝายเอ๋ย ..... หรือว่าเรือบรรทุกได้ 20 คนพอเต็มแล้วออกก็น่าจะบอกกันบ้างเราจะได้ไปรอบแรกเพราะรอบสองกลัวจะแดดออกเซ็งหว่ะเลยแก้เซ็งด้วยถ่ายรูปและเล่นไม้กระดกก็ได้






















พอเรือรอบแรกกลับมาติ๊กเข็ดนับคนได้ 12 คนเองยังไม่ครบ 20 คนเลยไม่รู้ใครถามเจ้าหน้าที่เค้าบอกว่ากรุ๊ปนี้จะรีบไปที่อื่นต่อจึงขอออกก่อนเวลาโธ่เอ๋ยไอ้สาดดดดกรูก็รีบเหมือนกันถ้ารีบนักก็ไม่ต้องล่องเรือสิก็ขอสละสิทธิ์ก็ได้นี่ไอ้บัฟเอ๋ยเสียรมย์หว่ะ




เปลี่ยนเรื่องดีฝ่าเรือท่องเที่ยวพาเราผ่านวัดโบสถ์ผ่านแพที่ประทับของร .5 ซึ่งตอนนี้ชาวบ้านกำลังนำไม้ไผ่มาสร้างแพเพื่อใช้เป็นที่สำหรับลอยกระทงที่จะนี้ถึง (2 พ.ย.)












และผ่านที่ประทับของพระเทพฯสวยดีและมองไปไกลๆจะเห็นเขาสะแกกรังและบันไดขึ้นวัดสังกัสฯสวยดีเรือล่องประมาณ 1 ชั่วโมงก็กลับที่พักดื่มน้ำผลไม้ที่ซื้อมาเมื่อวานเย็นและเก็บของออกจากที่พักเพื่อไปวัดท่าซุงต่อ

                                                                                                                      










วัดท่าซุงกับที่พักไม่ไกลกันมากแต่ก็ต้องถามทางอีกตามเคย 555 วัดนี้สวยมีเวลาเข้าชมวิหารแก้วด้วยนะต้องกะเวลาให้ดีก่อนไปหภายในวิหารแก้ว 100 เมตรล่ะสวยสุดๆเหมือนเดินในสรวงสวรรค์เลยง่ะและได้กราบหลวงพ่อฤาษีลิงดำศพไม่เน่าไม่เปื่อยที่โลงแก้ว






















ต่อด้วยปราสาททองคำสวยอีกเหมือนกันจึงเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกทำไมหนอจังหวัดนี้ใครๆก็ขับผ่านลองแวะเข้ามาดูแล้วจะรู้ว่าคุ้มค่ามากๆดีใจนะที่ได้มาวัดนี้

















ออกจากวัดท่าซุงก็มาต่อที่วัดสังกัสรัตนคีรีแต่ไปไม่ถูกอีกแล้วจึงถามทางลุงกับป้าที่หน้าวัดท่าซุงลุงกับป้าแสนดีแย่งกันบอกทางและก็วกไปวนมาแต่ก็พยายามบอกทางเราน่ารักจริงๆเดี๋ยวไฟแดง 2 เลี้ยวเอ๊ะไฟแดง 3 หรือไฟแดงโอ้ย .. ไปกันใหญ่เราจึงขอตัวและขับไปเรื่อยๆหลงเข้าไปถนนเล็กๆที่กำลังก่อสร้างและเป็นทางเบี่ยงพอมาถึงบ้านหลังหนึ่งจึงลงไปถามทางไปวัดเจ้าของบ้านน่ารักมากๆบอกทางกัน 3 คนแย่งกันเหมือนกันทางนี้ดีกว่าไม่หลงและไปหยิบกระดาษเขียนแผนที่ให้เราส่วนผู้ชายก็บอกว่า ... เอ้างี้ไหมเดี๋ยวผมขับมอเตอร์ไซด์นำทางไปให้แป๊ปเดียวเองจังหวัดเค้าเป็นจังหวัดเล็กๆอำเภอเมืองก็เล็กๆถนนหนทางซับซ้อนมากแต่พวกเราขอบคุณและเกรงใจจึงไปตามทางที่เค้าบอกจนมาถึงสวน 200 ปีเจอแยกไฟแดงเอาหละสิเลี้ยวซ้ายหรือขวาดีคาไฟแดงหนุ่ยจึงวิ่งลงไปถามทางและชี้ไปซ้ายมือเฮ้อ ... กว่าจะถึงวัดเล่นเอาเหนื่อยเลย 555 ความแต่เหนี่อยยังไม่หยุดแค่นี้นะมาถึงวัดเกือบจะเที่ยงๆก็เข้าห้องน้ำเตรียมความพร้อมเพื่อบันได 449 ขั้นท่ามกลางแสงแดดตอนเที่ยงๆหมวกพร้อมร่มพร้อมใจพร้อมแต่กายบางคนไม่พร้อม 555















แอร์ (เณรแอ) เดินนำขึ้นไปคนแรกพวกเราตามหลังขึ้นไปช่วงแรกๆยังพอไหวแต่ยิ่งขึ้นๆไม่ได้เหนื่อยนะแต่แดดร้อนมั๊กๆร้อนโครตๆร่มเอาไม่ค่อยอยู่มีอยู่หนึ่งคนเจ็บเข่าบอกว่าไม่ไหวให้ไปก่อนดูจากรูปตอนหลังเห็นแล้วน่าสงสารจังเลยมิน่าหละชวนไปภูกระดึงที่ไรเธอปฏิเสธทันทีก็เพิ่งเข้าใจวันนี้นี่เอง












ยังเดินไม่ถึงเลยไอ้แอร์มันเดินลงมาแล้วแบบนี้เรียกว่าน็อครอบได้ปละช่างหัวมันลงก่อนก็ต้องไปรอข้างล่างแหละ 555 พวกเราใช้เวลานานมากเดินไปพักไปจนถึงขั้นสุดท้าย (ประมาณ 15 นาทีคนอื่นๆใช้ประมาณ 8 นาที) ก็จะพบกับระฆังปี 100 (ต้องตีให้ดังๆให้สมกับที่ดั้งด้นกันมาตั้ง 449 ขั้นและว่ากันว่าได้บุญมากๆใครที่เดินขึ้นมาเพราะว่าสมัยนี้เจริญแล้วเค้าไม่เดินกันแล้วมีแต่พวกเราแหละเค้าจอดรถด้านหลังและเดิน 2 -3 ก้าวก็ถึงแล้ว 555)


                                                                                                                   




ไหว้ให้พระทำบุญและเสี่ยงดวงกันคนละคู่วัดดวงกันเลยว่าใครจะมีโชคกว่ากันส่วนหนุ่ยกับตาวถูกบังคับให้ซื้อลุงเจ้าหน้าที่เลือก (ไม่รู้ว่ารู้กันกับคนขายเปล่าว๊ะหุหุ)















ออกจากวัดสังกัสฯ (ขากลับไม่ได้เดินลงบันไดให้แอร์ขับรถขึ้นมารับ) และก็แวะซื้อของฝากที่ร้านแม่ป่วยลั้งเป็นขนมปังสังขยา (อร่อยดีไม่เสียดายเงิน) และกุ้งข้าวกรอบ (อันนี้เราว่าไม่ค่อยอร่อยง่ะ) ก่อนออกจากร้านถามคนขายว่าร้านข้าวมันไก่โกตี๋ไปทางไหนคนขายบอกว่าบอกยากถนนซับซ้อนแต่ก็บอกมาจำไม่ได้หรอกแยกเยอะเราจึงถามอีกว่าอร่อยไหม (กลัวจะเหมือนก๋วยเตี๋ยวตู้ไม้) คนขายอึ้ง .... และบอกว่าคนกรุงเทพฯชอบถามแต่เค้าว่าไม่อร่อยร้านอื่นอร่อยกว่าได้ยินดังนั้นเปลี่ยนแผนดีฝ่าติ๊กถามอีกว่าส้มตำร้านไหนอร่อยเจ้าของร้านไม่ขอเสนอจึงเชื่อแล้วหละว่าจังหวัดนี้อาหารไม่ค่อยอร่อยจึงกลับกรุงเทพฯดีกว่าและค่อยแวะกินข้างทางจะอร่อยกว่าแน่ๆ


ระหว่างทางซื้อกระจับต้มกินอร่อยดีไม่ได้กินมานานแล้ว (ติ๊กเข็ดเชยมากไม่เคยกินก็ได้กินวันนี้แหละ) และก็แวะซื้อปลาช่อนแดดเดียวกันอีกคนละโลเราไม่ได้ซื้อเพราะขี้เกียจทอด (หนุ่ยให้มา 1 ตัวตอนไปส่งรุ่งขึ้นแอร์ทอดกินก็อร่อยดีไว้ผ่านสิงห์บุรีจะซื้อมาทอดกินอีก)

พวกเราเก่งมากแขวนท้องรอจากมื้อเช้าเพื่อมากินส้มตำที่มหาชัยโอ๊ย .... อร่อยสุดๆสั่งกันเต็มโต๊ะหนุ่ยอร่อยคนเดียวไม่พอยังเป็นลูกกตัญญูซื้อหมี่โคราชมากฝากแม่กับพ่อด้วย

หลังอาหารเย็นก็เคลียเงินเหลือคืนคนละ 290 บาท (เก็บตอนแรก 1,500 บาท) ส่งพี่ไพ่ผ่องและติ๊กเข็ดเสร็จก็ส่งหนุ่ยที่บ้านกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ

***** ยังไม่จบมีแถมรีบเปิดประตูเข้าไป (ลืมบอกไปว่ามีคนปล่อยแมวไว้ที่หน้าบ้านเราจึงเลี้ยงมันก่อนไปเที่ยวได้ 2 วันพอวันไปเที่ยวขังมันไว้ในบ้านมันชื่อบุญธรรม " ")





หือ ... กลิ่นขึ้แมวหึ่งเลยวิ่งไปดูที่ห้องน้ำ 4 กองเลยง่ะท้องเสียด้วยกลิ่นจึงเหม็นมากรีบล้างห้องน้ำทำความสะอาดแต่โชคดีนะที่ไอ้บุญธรรมมันฉลาดถ่ายในห้องน้ำตลอดไม่เคยถ่ายที่อื่นเลยจนกระทั่งถึงวันที่เขียนบลอคเนี้ยมันก็ยังถ่ายในห้องน้ำทุกครั้งก็ถือว่าโชคดีของเราที่มันยังถ่ายเป็นที่เป็นทางช่างมันถ้ามันอยู่ก็เลี้ยงหนีไปก็ไม่เป็นไรแต่ตอนนี้รำคาญมันมากๆเลยกัดอยู่ได้บางคืนก็โดดขึ้นมานอนบนโน๊ตบุ๊คไม่ให้พิมพ์ไม่งั้นคงจะเขียนบลอคเสร็จแล้วหละซนฉิปเป้งเลยจบดีกว่าตอนนี้เจ็บมากๆแล้วจะได้หนีมันเข้านอนดีกว่าบ๊ายบายทริปหน้าวันพ่อเจอกันที่แก่งกระจานจุ๊บๆราตรีสวัสดิ์







  
รายละเอียดค่าใช้จ่าย (ปลาหมึกกุ้งขาว = 340 + ปู = 320, กุ้งหัวโต = 200, ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋น (ปั๊ม) = 217, ก๋วยเตี๋ยวตู้ไม้ = 150, พักค่าห้อง 2 หลัง = 2,300, อาหารใส่บาตร = 150, น้ำผลไม้ = 40, มะนาว = 10, น้ำแข็ง + เป๊บซี่ + ยา, ทิชชู = 160, ข้าวสวย = 30 (ลืมลงนึกแล้วเชียวว่าเงินไปไหน 30 บาท) ปลาแรด = 130, มะละกอ = 20 ทำบุญวัดท่าซุง = 100, ทำบุญวัดสังกัสฯ = 50, ไอติม + น้ำดื่ม = 100, ฝรั่ง = 10, กระจับ = 20 ส้มตำ = 570, น้ำมันรถ = 1100 (ระยะทาง 600 กม.) รวม 6,017 บาทเก็บ 5 คน @ 1,500 คืนคนละ 290 (ได้กำไร 33 บาทคุ้มจริงๆยิ่งกว่าแฟตปลาทองอีก)