วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อุทัย....ทริป 24-25 ตุลาคม 52

วันปิยะปีนี้เป็นวันศุกร์แต่บริษัทฯติ๊กเข็ด, พี่ไพ่ผ่องและฮ้อนสลับวันหยุดเป็นวันเสาร์แทน .... เป็นเรื่องนะสิมีคนหยุดติดต่อกัน 2 วันต้องหาสถานที่ไปเที่ยวแล้วง่ะเอาแบบใกล้ๆกรุงเทพฯเราจึงเลือกจังหวัดอุทัยธานีก็แล้วกันเพราะเห็นนักท่องเที่ยวไปมาสวยดีแถมไปไหว้พระด้วยส่วนเรากับเจ้าโป้งไม่ได้หยุดนะจึงใช้พักร้อนแทนแบบว่าพักร้อนเหลือเยอะใช้ไม่หมดส่วนหนุ่ยป๊อดก็ลาพักร้อนกับแม่เหมือนกันคนอะไรวะมีพักร้อนตั้ง 300 นะกว่าวันแห (ยกเว้นวันออกห .... ห้ามหยุดนะเพราะไม่มีใครทำงานแทน 555) เราได้จองห้องพักที่พญาไม้รีสอร์ทและซื้ออาหารทะเลไปย่างกินกันลืมบอกไปว่าช่วงที่จะไปเป็นช่วงกินเจพอดีเลยจึงกินเจกันได้ไม่ครบ 9 วันหรอกต้องออกก่อนแบบว่าไม่ค่อยเห็นแก่กินเลยนะพวกเรา

6 โมงครึ่งหนุ่ยป๊อดกับเจ้าโป้งมารอที่ป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้านเราไม่ได้ไปรับเนื่องจากฮ้อน (ลืมไปนายทหาร) ทำงานครึ่งคืนกลับมาตีสองครึ่งเราจึงให้นอนตุนไว้ก่อนจะได้เก็บแรงไว้ขับรถถึงบ้านติ๊กเข็ด 7 โมงนิดๆพี่ไพ่ผ่องซื้อปลาหมึกกับกุ้งไว้เรียบร้อยแล้วแต่ยัง .... มันยังไม่พอเราต้องการกินกุ้งที่ย่างแบบกุ้งกระทะและยังขาดปูอีกจึงนั่งรถไปซื้อปูกับกุ้งกันอีกรอบงานนี้กะว่าจะกินกันให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลย

ออกจากมหาชัยก็มุ่งหน้าสู่อุทัยกันเลยพอผ่านจ. อยุธยาแวะทานก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นที่ปั๊มบางจากรสชาติอร่อยดีชามใหญ่มากๆ (แต่ข้างในติ๊ดเดียว) ทานเสร็จก็ไปกันต่อ
                                                                                                                


                                                                                                        



ถึงอุทัยธานีแล้วตามโปรแกรมต้องแวะไหว้พระที่วัดเอ๋ย .... วัดโบสถ์หรือวัดอุโบสถารามลืมบอกไปอีกว่าอุทัยธานีเป็นจังหวัดเล็กๆที่ใครๆก็ขับผ่าน (แต่มีดีอยู่ในตัวพอสมควรคนมีบุญเท่านั้นแหละที่ได้ไปพิสูจน์ 555) และตัวเมืองถนนหนทางก็ซับซ้อนมากๆสงสัยจะหลงแล้วง่ะจึงให้โป้งเดินลงไปถามทางกับแม่ค้าว่าวัดโบสถ์ไปทางไหน ... อุ๊แม่เจ้าแม่ค้าชี้ไปข้างหน้าที่จอดเนี่ยแหละหน้าวัดโบสถ์ต้องจอดรถและเดินข้ามสะพานไปหรือจะขับรถอ้อมไปชี้ไปทางนู้นซอยอะไรก็ไม่รู้ก็ได้รถสามารถจอดที่วัดได้เลยพวกเราเลยจอดรถตรงนี้และเลือกที่จะเดินข้ามสะพานไปดีกว่า


                                                                                                               










มาถึงตอนเที่ยงๆพอดีเลยแดดร้อนโครๆต (ก่อนหน้าที่จะไป 1 วันฝนตกสุดๆเลยตอนแรกคิดว่าเที่ยวครั้งนี้คงชุ่มช่ำเปียกฝนแน่ๆแต่ผิดคาดง่ะ) สะพานที่ข้ามไปทอดผ่านแม่น้ำสะแกกรังวิวสวยดีบรรยากาศน่าอยู่มองไปข้างหน้าเห็นวัดโบสถ์พร้อมกับเจดีย์ 3 องค์สวยดี (วัดนี้ร .5 ทรงมาเสด็จประพาสและได้ประทับที่แพหน้าวัดด้วยแหละ)























ออกจากวัดโบสถ์ก็นี่เลยต้องไปกินก๋วยเตี๋ยวตู้ไม้ตามโปรแกรมในอินเทอร์เน็ตแป๊ะๆพอถามป้าที่นั่งถักผ้าที่หน้าวัดว่าร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ตู้ไม้ไปทางไหนตรงไฟแดงนะป้าบอกไม่รู้จัก ..... (ชักจะยังงัยแล้วไม่ได้สังหรณ์ใจเลย) ไม่รู้ก็ไม่เป็นไรไปเองก็ได้


ขับมาได้พักสัก (12.38 น.) ตรงไฟแดงก็เห็นร้านก๋วยเตี๋ยวตู้ไม้พอดีเลย (จำร้านและคนขายจะในเว็บไซต์) ดีใจใหญ่รีบลงไปสั่งทานกันคนละชามร้านเล็กๆโต๊ะนั่งมีไม่กี่ตัวโชคดีที่ไปยังพอมีที่นั่งสำหรับพวกเราพอก๋วยเตี๋ยวมาไม่รีรอรีบกินทันที่แต่ ... แต่ ... มันเป็นเพียงคำบอกเล่าของชาวเน็ตที่บอกว่าอร่อยแต่มันไม่ค่อยจะถูกปากเราเท่าไหร่เลยหรือว่าพวกเรากินไม่เป็นก็ไม่รู้จึงคิดว่าเป็นก๋วยเตี๋ยวธรรมดาบางคนก็เจอเส้นแข็งๆเพราะว่าลูกค้าเยอะสงสัยคนขายจะรีบลวกเส้นเร็วไปหน่อยร้านแรกอร่อยกว่าแต่ก็นานาจิตตังนะเพราะว่าโต๊ะข้างๆทานกันใหญ่แถมเปิ้ลอีกหลายๆชามแต่เราบายขอ ... มุ่งหน้าสู่รีสอร์ทดีกว่าอาหารทะเลรอเราอยู่

                                                                                                                                              






                                                      
ออกจากร้านก๋วยเตี๋ยวก็ขับรถไปเรื่อยๆหลงอีกแล้งง่ะจึงถามทางอีก (จนจบทริปจะถามกี่ครั้งหนอ) ก็และเข้าสู่ถนนที่จะไปพญาไม้รีสอร์ทเอ๊ะ ... มีป้ายวัดโบสถ์เอ๋ยโธ่ ... ทางไปรีสอร์ทกับทางไปวัดโบสถ์เข้าทางเดียวกันเลยเวรกรรม

ถึงพญาไม้รีสอร์ทตอนบ่ายโมงยังเข้าห้องไม่ได้เนื่องจากแขกที่พักเมื่อวานเช็คเอ้าท์ช้าแม่บ้านจึงทำความสะอาดไม่ทันเวร ... ร้อนก็ร้อนเดินเล่นรอบๆถ่ายหมาถ่ายแมวไปตามประสา


















ห้องใหญ่ผู้หญิงนอนกัน 4 คนส่วนหลังเล็กห่างจากบ้านผู้หญิงให้โป้งกับฮ้อนเฮ้ย .. ไม่ใช่สิให้แอร์ (เณรแอ) กับตาวนอนด้วยกันต่างหากผิดแผนนะเนี่ยตามโปรแกรมไม่ได้จัดอย่างนี่นะเซ็ง ... ไม่ทำตามที่จัดไว้คราวหน้าจะไม่จัดให้ไปเที่ยวกันแล้วดื้อจริงๆไม่เชื่อฟังกันเล้ยยยยย






เข้าห้องพักได้ก็นอนดูโทรทัศน์ฆ่าเวลาเพราะไม่สามารถย่างอาหารทะเลได้เนื่องจากแดดยังเยอะอยู่เดี่ยวตัวดำ (คุณแม่จะว่าได้) พอได้เวลาบ่ายๆติ๊กเข็ดชวนไปล้างอาหารทะเลกันจะได้ปิ้งเสียที (สงสัยจะหิว) เดินหาก๊อกน้ำที่จะล้างหาไม่เจอจึงถามลุงเจ้าหน้าที่ว่าล้างที่ไหนเจ้าหน้าที่บอกว่าล้างที่แม่น้ำตรงแพหน้ารีสอร์ทพวกเราจึงไปล้างอาหารกันที่แม่น้ำได้บรรยากาศดีๆจริง












ล้างเสร็จแดดหมดพอดีจึงเริ่มย่างกันเลยและทิ้งตาวกับหนุ่ยย่างอาหารทะเลกันสองคนส่วนพวกเราไปซื้อของที่ตลาด (หนุ่ยปวดหัวฝากซื้อพาราอ้างว่าอากาศร้อนจัดและมาโดนแอร์ไม่รู้ว่าเป็นข้ออ้างหรือว่าแก่ชราขึ้นก็สิไม่รู้ ... ทริปนี้มีแต่คนป่วยคนหนึ่งปวดหัวคนหนึ่งปวดเข่าโอ๊ะ .... นี่มันอาการของคน .. คนอะไรน้า ..... คุ้นๆส . อะไรน๊า ...... อ๋อสว. งัย)

ขับรถออกมาจ่ายตลาดไม่ถึง 5 นาทีเลยจอดรถที่วัดโบสถ์เพื่อข้ามสะพานเมื่อตอนเที่ยงที่เราเดินก้นเพื่อไปตลาด (เอยโธ่ ... วัดโบสถ์ตลาดรีสอร์ทอยู่ใกล้ๆกันเลยทำงัยได้ก็เราม่ายช่ายคนแถวนี้นิ 555)


ตลาดไม่ใหญ่มีผักและอาหารสำเร็จขายเหมือนๆที่บ้านเราเนี่ยแหละพวกเราซื้อปลาทับทิมและขอน้ำจิ้มเพิ่มเนื่องจากแม่หมวยทำน้ำจิ้มมาน้อยมั๊กมากๆไม่พอกินแน่ๆและได้ซื้อเกลือกับมะนาวมาด้วยเผื่อน้ำจิ้มที่ซื้อหวานจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที (มุ่งมั่นกันมากๆเลยกับอาหารทะเลมื้อนี่) และซื้อข้าวสวย, มะละกอ, น้ำแข็ง, เป็ปซี่, ยา, ทิชชู่, น้ำผลไม้ส่วนเบียร์ไม่ได้ซื้อง่ะเนื่องจากหนุ่ยปวดหัว (อดเลยตรู)

กับมาถึงอาหารก็ย่างเสร็จแล้วบางส่วน ..... ลุยเลยดิ๊หิวโครตๆจึงทานกันที่หน้าบ้านพักแต่ยุงชุมจริงๆแถมดุด้วยง่ะกินไปตบไปทรมานมากๆสักพักเจ้าหน้าที่นำยากันยุงมาแต่ให้ ... แต่มันช่วยอะไรไม่ได้เลยง่ะเพิ่งจะเห็นว่ายุงร้ายกว่าเสือก็คราวนี้แหละยากันยุงมันไม่กลัวเล้ยแบบว่ามันเป็นยุงภูเขานะไม่เคยกินของทะเลจึงสู้ตายตายเป็นตายครั้งหนึ่งในชีวิตก็ยอมกรูขอชิมอาหารทะเลและเลือดหวานๆของสว. ก่อนตายก็ยังดี












แต่แล้วเราก็สู้ยุงไม่ได้จึงไม่เกรงใจรีสอร์ทแล้วนำอาหารมาทานในห้องเลยดีกว่า (ช่างมันไม่ช่ายห้องเราเป็นห้องผู้ชายเหม็นก็ไม่เป็นไรแอร์ (แอเณร) กับตาวไม่ซีเรียสคืนนี้ทนนอนดมกลิ่นได้พอเข้ามาเหมือนขึ้นสวรรค์เลยง่ะไม่มียุงมารบกวนแถมอาหารก็แสนอร่อยกินจนพุงกางเลยอร่อยทุกอย่างชอบกันคนละอย่างจริงๆเราชอบปู, เณรแอกินปลาหมึกกับปลาทับทิม, หนุ่ยป๊อดกับตาวชอบกุ้งตัวโต (โตหัว) พี่ไผ่ผ่องกับติ๊กเข็ดชอบกุ้งสะดุ้ง (ติ๊กเข็ดกินกุ้งเยอะมากๆไม่สามารถกินอะไรต่อได้อีกเนืองจากกุ้งที่กินมันหลามตั้งแต่กระเพาะจนถึงคอหอยแล้วทุก 555) คนหยุดหมดแล้วไม่สามารถไปต่อได้เหลือตาวกับหนุ่ยกินกุ้งไปเรื่อยๆจนหมดเหลือแต่หัวจึงต้องทิ้งเพราะว่าไม่สามารถที่จะยัดอะไรเข้าไปในร่างกายได้อีกแล้วจึงยุติมื้อค่ำเพียงเท่านี้เก็บภาชนะล้างอาบน้ำนอนเนื่องจากเพลียมากๆและพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาใส่บาตรพระกันราตรีสวัสดิ์ (ลืมไปนอนไม่ค่อยสบายเนื่องจากหมอนสูงมากๆถ้าเตี้ยๆนิ่มๆกว่านี้จะดีมากๆเลย)














6.30 น. ตามเวลานัดพระจะพายเรือมาบิณฑบาตรแต่ยังไม่ถึงเวลาเลยตาวมาเรียกหน้าห้องว่าพระมาแล้วอะไรว๊ะ .... รีบกุลีกุจอไปใส่บาตรที่แพกันเลย







อาหารใส่บาตรตอนแรกคิดว่าเป็นข้าวสวย, กับข้าวแต่ไม่ใช่เป็นอาหารแห้งแต่ก็ไม่เป็นไรใส่ด้วยใจอะไรก็ได้ถือว่าได้บุญเหมือนกันสาธุ ....












ใส่บาตรเสร็จก็พายเรือเล่นกันเพราะว่าอากาศดีถ้าเป็นหน้าหนาวคงจะสวยน่าดูพี่ไพ่ผ่องชวนไปพายบอกว่าเราไปบ้านหลังตรงข้ามกับรีสอร์ทสวยดีไปกัน 5 คนแอร์ไม่ไปเนื่องจากกลัวน้ำเราพายท้ายหนุ่ยพายหน้าเหนื่อยฉิบเป้งเลยเรือมันทู่ๆแถมขากลับพายทวนน้ำอีกเล่นเอาเหงื่อแตกเลย







                                                                                                                        











พอใกล้ถึงฝั่งตาวขอพายบ้างเราจึงให้ติ๊กเข็ดลองพายท้ายดู ..... เชื่อเลยคนพายเรือไม่เป็นมันหมุนติ้วเลย 2 คนนี้ควงสว่าน 2 รอบเลย 555











พอจะเข้าฝั่งจึงให้พี่ไพ่ผ่องพายบ้าง .... โหสุ่มเงียบนะพายเป็นก็ไม่บอกรู้งี้ให้พายตั้งนานแล้ว 555













เวลาเหลืออีกพอสมควรก่อนอาหารเช้าจึงขี่จักรยานเล่นกันเราขี่ได้นิดเดียวแต่ไม่ค่อยคล่องจึงขอตัวปล่อยให้หนุ่ยแอร์ (เณรแอ) และตาวขี่เล่นแถววัดโบสถ์เพื่อฆ่าเวลา















หลังจากขี่จักรยานเล่นเสร็จก็มาทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารติ๊กเข็ดเปลี่ยนเป็นติ๊กเซ็ง ... เพราะอยากทานข้าวต้มแต่ทางรีสอร์ทไม่มีมีแต่อาหารเช้าแบบอเมริกันแต่เราว่าไม่ใช่อยากทานข้าวต้มหรอกน่าจะอยากทานข้าวเหนียว + หมูปิ้งจะมากกว่า 555













ตามโปรแกรมหลังอาหารเช้าจะต้องไปล่องเรือชมความงามและวิถีชีวิตของชุมชนแม่น้ำสะแกกรังตอน 8.30 น. พอใกล้เวลาไปรอที่ท่าเรือปรากฏว่าเรือออกไปแล้วอ้าว .... ก็ไหนบอกว่าออกตอน 8.30 น. ไหงออกก่อนว๊ะไอ้ซับฝายเอ๋ย ..... หรือว่าเรือบรรทุกได้ 20 คนพอเต็มแล้วออกก็น่าจะบอกกันบ้างเราจะได้ไปรอบแรกเพราะรอบสองกลัวจะแดดออกเซ็งหว่ะเลยแก้เซ็งด้วยถ่ายรูปและเล่นไม้กระดกก็ได้






















พอเรือรอบแรกกลับมาติ๊กเข็ดนับคนได้ 12 คนเองยังไม่ครบ 20 คนเลยไม่รู้ใครถามเจ้าหน้าที่เค้าบอกว่ากรุ๊ปนี้จะรีบไปที่อื่นต่อจึงขอออกก่อนเวลาโธ่เอ๋ยไอ้สาดดดดกรูก็รีบเหมือนกันถ้ารีบนักก็ไม่ต้องล่องเรือสิก็ขอสละสิทธิ์ก็ได้นี่ไอ้บัฟเอ๋ยเสียรมย์หว่ะ




เปลี่ยนเรื่องดีฝ่าเรือท่องเที่ยวพาเราผ่านวัดโบสถ์ผ่านแพที่ประทับของร .5 ซึ่งตอนนี้ชาวบ้านกำลังนำไม้ไผ่มาสร้างแพเพื่อใช้เป็นที่สำหรับลอยกระทงที่จะนี้ถึง (2 พ.ย.)












และผ่านที่ประทับของพระเทพฯสวยดีและมองไปไกลๆจะเห็นเขาสะแกกรังและบันไดขึ้นวัดสังกัสฯสวยดีเรือล่องประมาณ 1 ชั่วโมงก็กลับที่พักดื่มน้ำผลไม้ที่ซื้อมาเมื่อวานเย็นและเก็บของออกจากที่พักเพื่อไปวัดท่าซุงต่อ

                                                                                                                      










วัดท่าซุงกับที่พักไม่ไกลกันมากแต่ก็ต้องถามทางอีกตามเคย 555 วัดนี้สวยมีเวลาเข้าชมวิหารแก้วด้วยนะต้องกะเวลาให้ดีก่อนไปหภายในวิหารแก้ว 100 เมตรล่ะสวยสุดๆเหมือนเดินในสรวงสวรรค์เลยง่ะและได้กราบหลวงพ่อฤาษีลิงดำศพไม่เน่าไม่เปื่อยที่โลงแก้ว






















ต่อด้วยปราสาททองคำสวยอีกเหมือนกันจึงเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกทำไมหนอจังหวัดนี้ใครๆก็ขับผ่านลองแวะเข้ามาดูแล้วจะรู้ว่าคุ้มค่ามากๆดีใจนะที่ได้มาวัดนี้

















ออกจากวัดท่าซุงก็มาต่อที่วัดสังกัสรัตนคีรีแต่ไปไม่ถูกอีกแล้วจึงถามทางลุงกับป้าที่หน้าวัดท่าซุงลุงกับป้าแสนดีแย่งกันบอกทางและก็วกไปวนมาแต่ก็พยายามบอกทางเราน่ารักจริงๆเดี๋ยวไฟแดง 2 เลี้ยวเอ๊ะไฟแดง 3 หรือไฟแดงโอ้ย .. ไปกันใหญ่เราจึงขอตัวและขับไปเรื่อยๆหลงเข้าไปถนนเล็กๆที่กำลังก่อสร้างและเป็นทางเบี่ยงพอมาถึงบ้านหลังหนึ่งจึงลงไปถามทางไปวัดเจ้าของบ้านน่ารักมากๆบอกทางกัน 3 คนแย่งกันเหมือนกันทางนี้ดีกว่าไม่หลงและไปหยิบกระดาษเขียนแผนที่ให้เราส่วนผู้ชายก็บอกว่า ... เอ้างี้ไหมเดี๋ยวผมขับมอเตอร์ไซด์นำทางไปให้แป๊ปเดียวเองจังหวัดเค้าเป็นจังหวัดเล็กๆอำเภอเมืองก็เล็กๆถนนหนทางซับซ้อนมากแต่พวกเราขอบคุณและเกรงใจจึงไปตามทางที่เค้าบอกจนมาถึงสวน 200 ปีเจอแยกไฟแดงเอาหละสิเลี้ยวซ้ายหรือขวาดีคาไฟแดงหนุ่ยจึงวิ่งลงไปถามทางและชี้ไปซ้ายมือเฮ้อ ... กว่าจะถึงวัดเล่นเอาเหนื่อยเลย 555 ความแต่เหนี่อยยังไม่หยุดแค่นี้นะมาถึงวัดเกือบจะเที่ยงๆก็เข้าห้องน้ำเตรียมความพร้อมเพื่อบันได 449 ขั้นท่ามกลางแสงแดดตอนเที่ยงๆหมวกพร้อมร่มพร้อมใจพร้อมแต่กายบางคนไม่พร้อม 555















แอร์ (เณรแอ) เดินนำขึ้นไปคนแรกพวกเราตามหลังขึ้นไปช่วงแรกๆยังพอไหวแต่ยิ่งขึ้นๆไม่ได้เหนื่อยนะแต่แดดร้อนมั๊กๆร้อนโครตๆร่มเอาไม่ค่อยอยู่มีอยู่หนึ่งคนเจ็บเข่าบอกว่าไม่ไหวให้ไปก่อนดูจากรูปตอนหลังเห็นแล้วน่าสงสารจังเลยมิน่าหละชวนไปภูกระดึงที่ไรเธอปฏิเสธทันทีก็เพิ่งเข้าใจวันนี้นี่เอง












ยังเดินไม่ถึงเลยไอ้แอร์มันเดินลงมาแล้วแบบนี้เรียกว่าน็อครอบได้ปละช่างหัวมันลงก่อนก็ต้องไปรอข้างล่างแหละ 555 พวกเราใช้เวลานานมากเดินไปพักไปจนถึงขั้นสุดท้าย (ประมาณ 15 นาทีคนอื่นๆใช้ประมาณ 8 นาที) ก็จะพบกับระฆังปี 100 (ต้องตีให้ดังๆให้สมกับที่ดั้งด้นกันมาตั้ง 449 ขั้นและว่ากันว่าได้บุญมากๆใครที่เดินขึ้นมาเพราะว่าสมัยนี้เจริญแล้วเค้าไม่เดินกันแล้วมีแต่พวกเราแหละเค้าจอดรถด้านหลังและเดิน 2 -3 ก้าวก็ถึงแล้ว 555)


                                                                                                                   




ไหว้ให้พระทำบุญและเสี่ยงดวงกันคนละคู่วัดดวงกันเลยว่าใครจะมีโชคกว่ากันส่วนหนุ่ยกับตาวถูกบังคับให้ซื้อลุงเจ้าหน้าที่เลือก (ไม่รู้ว่ารู้กันกับคนขายเปล่าว๊ะหุหุ)















ออกจากวัดสังกัสฯ (ขากลับไม่ได้เดินลงบันไดให้แอร์ขับรถขึ้นมารับ) และก็แวะซื้อของฝากที่ร้านแม่ป่วยลั้งเป็นขนมปังสังขยา (อร่อยดีไม่เสียดายเงิน) และกุ้งข้าวกรอบ (อันนี้เราว่าไม่ค่อยอร่อยง่ะ) ก่อนออกจากร้านถามคนขายว่าร้านข้าวมันไก่โกตี๋ไปทางไหนคนขายบอกว่าบอกยากถนนซับซ้อนแต่ก็บอกมาจำไม่ได้หรอกแยกเยอะเราจึงถามอีกว่าอร่อยไหม (กลัวจะเหมือนก๋วยเตี๋ยวตู้ไม้) คนขายอึ้ง .... และบอกว่าคนกรุงเทพฯชอบถามแต่เค้าว่าไม่อร่อยร้านอื่นอร่อยกว่าได้ยินดังนั้นเปลี่ยนแผนดีฝ่าติ๊กถามอีกว่าส้มตำร้านไหนอร่อยเจ้าของร้านไม่ขอเสนอจึงเชื่อแล้วหละว่าจังหวัดนี้อาหารไม่ค่อยอร่อยจึงกลับกรุงเทพฯดีกว่าและค่อยแวะกินข้างทางจะอร่อยกว่าแน่ๆ


ระหว่างทางซื้อกระจับต้มกินอร่อยดีไม่ได้กินมานานแล้ว (ติ๊กเข็ดเชยมากไม่เคยกินก็ได้กินวันนี้แหละ) และก็แวะซื้อปลาช่อนแดดเดียวกันอีกคนละโลเราไม่ได้ซื้อเพราะขี้เกียจทอด (หนุ่ยให้มา 1 ตัวตอนไปส่งรุ่งขึ้นแอร์ทอดกินก็อร่อยดีไว้ผ่านสิงห์บุรีจะซื้อมาทอดกินอีก)

พวกเราเก่งมากแขวนท้องรอจากมื้อเช้าเพื่อมากินส้มตำที่มหาชัยโอ๊ย .... อร่อยสุดๆสั่งกันเต็มโต๊ะหนุ่ยอร่อยคนเดียวไม่พอยังเป็นลูกกตัญญูซื้อหมี่โคราชมากฝากแม่กับพ่อด้วย

หลังอาหารเย็นก็เคลียเงินเหลือคืนคนละ 290 บาท (เก็บตอนแรก 1,500 บาท) ส่งพี่ไพ่ผ่องและติ๊กเข็ดเสร็จก็ส่งหนุ่ยที่บ้านกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ

***** ยังไม่จบมีแถมรีบเปิดประตูเข้าไป (ลืมบอกไปว่ามีคนปล่อยแมวไว้ที่หน้าบ้านเราจึงเลี้ยงมันก่อนไปเที่ยวได้ 2 วันพอวันไปเที่ยวขังมันไว้ในบ้านมันชื่อบุญธรรม " ")





หือ ... กลิ่นขึ้แมวหึ่งเลยวิ่งไปดูที่ห้องน้ำ 4 กองเลยง่ะท้องเสียด้วยกลิ่นจึงเหม็นมากรีบล้างห้องน้ำทำความสะอาดแต่โชคดีนะที่ไอ้บุญธรรมมันฉลาดถ่ายในห้องน้ำตลอดไม่เคยถ่ายที่อื่นเลยจนกระทั่งถึงวันที่เขียนบลอคเนี้ยมันก็ยังถ่ายในห้องน้ำทุกครั้งก็ถือว่าโชคดีของเราที่มันยังถ่ายเป็นที่เป็นทางช่างมันถ้ามันอยู่ก็เลี้ยงหนีไปก็ไม่เป็นไรแต่ตอนนี้รำคาญมันมากๆเลยกัดอยู่ได้บางคืนก็โดดขึ้นมานอนบนโน๊ตบุ๊คไม่ให้พิมพ์ไม่งั้นคงจะเขียนบลอคเสร็จแล้วหละซนฉิปเป้งเลยจบดีกว่าตอนนี้เจ็บมากๆแล้วจะได้หนีมันเข้านอนดีกว่าบ๊ายบายทริปหน้าวันพ่อเจอกันที่แก่งกระจานจุ๊บๆราตรีสวัสดิ์







  
รายละเอียดค่าใช้จ่าย (ปลาหมึกกุ้งขาว = 340 + ปู = 320, กุ้งหัวโต = 200, ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋น (ปั๊ม) = 217, ก๋วยเตี๋ยวตู้ไม้ = 150, พักค่าห้อง 2 หลัง = 2,300, อาหารใส่บาตร = 150, น้ำผลไม้ = 40, มะนาว = 10, น้ำแข็ง + เป๊บซี่ + ยา, ทิชชู = 160, ข้าวสวย = 30 (ลืมลงนึกแล้วเชียวว่าเงินไปไหน 30 บาท) ปลาแรด = 130, มะละกอ = 20 ทำบุญวัดท่าซุง = 100, ทำบุญวัดสังกัสฯ = 50, ไอติม + น้ำดื่ม = 100, ฝรั่ง = 10, กระจับ = 20 ส้มตำ = 570, น้ำมันรถ = 1100 (ระยะทาง 600 กม.) รวม 6,017 บาทเก็บ 5 คน @ 1,500 คืนคนละ 290 (ได้กำไร 33 บาทคุ้มจริงๆยิ่งกว่าแฟตปลาทองอีก)