วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เชียงใหม่-เชียงราย By Air Asia

ข้อควรระวัง ก่อนอ่านต้องมีเวลามากพอ และกรุณาเลื่อนไปบันทัดสุดท้าย และคลิ๊กเล่นเพลงประกอบการอ่านนะจ๊ะ ถึงจะสมบูรณ์
และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่พวกเราทุกคน ( สี่สาวแสนสวย) จะได้ไปเที่ยวครั้งแรกในชีวิตกับแม่หมวยสุดสวย เพราะตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยไปเที่ยวด้วยกันครบ 4 คนพี่น้อง กับแม่ (แต่ยังขาดพ่อนะเนี่ยไม่ยอมมา) จึงเลือกเที่ยวเชียงราย-เชียงใหม่ ก็พวกเราอยากให้แม่มาเห็นสิ่งสวย ๆ งาม ๆ ของดอกไม้เมืองหนาวที่ 2 จังหวัดนี้ และอีกอย่างคือไม่อยากให้แม่ต้องเหนื่อยกับการเดินทางไกล จึงเลือกเดินทางโดยเครื่องบิน (แต่เป็นสายการบินแบบประหยัดนะแบบว่างบน้อย 555....ขนาดนี้ หมูตอน ยังไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้นั่งเครื่องบิน มันยังบอกกับหนูเพลินเลย ถ้าแม่ถูกรางวัลที่ 1 จะพาเพลินนั่งเครื่องบิน โห....สมัยนี้ ใคร ๆ ก็สามารถขึ้นเครื่องได้แล้วไม่ต้องมีเงินมากมายเหมือนแต่ก่อนแล้ว สายการบินราคาประหยัดมีให้เลือกมากมาย ดั่งที่เราได้เลือกใช้คือสายการบิน Thai Air Asia ตามมาเที่ยวกับเราได้เลย....

สมาชิกที่ไปทั้งหมดมี 8 คน คือ แม่ ติ๊ด หมู นุช หนุ่ย พี่จืด นู๋เพลิน และ โป้ง แบ่งรถขาไปด้วยแท็กซี่ ออกเป็น 2 คัน คันแรก มี แม่ ติ๊ด (นอนบ้านบางหว้า) หนุ่ย และโป้ง ขึ้นรถตอนตี 4 นิด ๆ และอีกคันคือคันเรา มีพี่จืด หมู นู๋เพลิน และเรา หมูเรียกรถมารับที่บ้านแสงเพชร และแวะมารับเราที่บ้าน ขึ้นรถตอนตี 4 นิด ๆ เหมือนกัน ทั้งสองคันมุ่งหน้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิ

ถึงสนามบิน ตอนดี่ 5 กว่า ๆ นำกระเป๋าใส่รถเข็น ไปเคาน์เตอร์ ของ Air Asia (D18) ไม่ต้องเข้าแถวเช็คอิน เพราะเราได้พริ้นบอร์ดดิ้งพาส มาจากที่ทำงานแล้ว เลยสบายไป นำกระเป๋าชั่งน้ำหนัก และลำเลียงสู่ท้องเรือได้เลย ไม่ยากอย่างที่คิด (ดีนะที่โป้งเคยมีประสบการณ์นั่งเครื่องบินแล้ว จึงสบายหน่อย) ได้ Gate B1C ประตูเปิด 6.10 น. เครื่องออก 7.10 น. จริง ๆ แล้วยังมีเวลาให้เดินเล่น หรือกินข้าวได้อีก แต่เราไม่รู้ โป้งถามพนักงาน แม่งก็ไม่รู้ ดันรีบบอกให้เรารีบไป พวกเรารีบไปที่ Gate กันใหญ่ บ่นกับหนุ่ยเลย ว่ามันเลื่อนเที่ยวบินหรือ ก็ในบอร์ดยังบอกอยู่เลย ว่า 7.10 น. แต่ก็ครั้งแรกจึงต้องทำตาม พอมาที่ Gate นั่งรอ โธ่.... รอตั้งนาน




พอใกล้ 7 โมงเจ้าหน้าที่เรียกให้เข้าแถวเดินเพื่อไปขึ้นรถ และขับไปส่งที่เครื่องบิน เพราะสนามบินสุวรรณภูมิใหญ่มาก ต้องนั่งรถต่อส่งที่เครื่องบิน (ไม่เหมือนสนามบิน เชียงราย และเชียงใหม่ เดินขึ้น-ลง ที่เครื่องได้เลย) ตอนที่ยืนอยู่บนรถที่จะนำเราไปเครื่องบิน นู๋เพลิน บอกทำไมเราไม่นั่งเครื่องบินหล่ะ


















ไปกัน 8 คน เราจึงเลือกที่นั่ง แถวซ้ายมือทั้งหมด (อ่านจากเน็ต ถ้าไปทิศไหน ก็ดูว่าแดดจะส่องตรงไหน ให้เลือกนั่งอีกฝั่งขอบคุณคุณหมอ (ยุ่งชะมัดสัตวแพทย์) มาก ๆ ที่ให้ความรู้ได้เยอะจริง ๆ ) เรานั่งริมหน้าต่างกับแม่ แต่.....ไม่เป็นดังที่จัดไว้ แม่เดินขึ้นเครื่องก่อน แย่งที่นั่งริมหน้าต่างของเราไป เพราะเราไปพูดแกล้งเค้าไว้ว่าเดี๋ยวข้าง ๆ แม่จะมีผู้ชายตัวดำ ๆ ใหญ่ ๆ นั่งข้าง ๆ แม่จึงรึบขึ้นก่อนและแย่งที่เราไปโดยปริยาย แถมเป็นจริง ดังที่เราหลอกแม่ด้วย ผู้ชายตัวดำใหญ่นั่งข้าง ๆ เราด้วยจริง ๆ ส่วนแถวที่ 2 จะเป็น ติ๊ด หนุ่ย และโป้ง และแถว 3 จะเป็น นู่เพลิน หมู และพี่จืด

พอได้เวลาเครื่องออกเจ้าหน้าที่จะสาธิตการใช้เข็มขัดนิรภัย และเครื่องช่วยหายใจ เวลาที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน แต่ก็ไม่ได้ฟังเท่าไหร่ และเครื่องก็ขับไปเรื่อย ๆ ที่รันเวย์ นานมาก ๆ 10 กว่านาทีแหน่ะ กว่าจะพุ่งขึ้นฟ้า ช่วงที่ขึ้น ก็ภาวนาสิ่งสักดิ์สิทธิ์ (ไม่รู้ใครเป็นเหมือนเราเปล่า) ขอให้การเดินทางผ่านไปด้วยดี เครื่องบินอย่าตกเลย แปลกใจเหมือนกันว่าเครื่องบินลำใหญ่ ๆ มันบินบนท้องฟ้าได้งัย พอเครื่องไต่ระดับ ก็สบายๆ แล้วนิ่ม มาก ๆ (ดีกว่านั่งรถไอ้ฮ้อนตั้งเยอะ) แม่ชมใหญ่เลย ว่านิ่มจัง ทำไมมันอยู่เฉย ๆ ไม่เห็นขยับไปไหนเลย ช่วงที่เครื่องบินเหนือเมฆ สวยดีง่ะ แต่ไม่ดีตรงที่นั่งของพวกเราตรงกับปีก ปีกบังหมดเลย แต่ก็หามุมให้หนุ่ย และหมูถ่ายรูปมาจนได้ 8.20 น. ถึงสนามบินเชียงราย (ตอนเครื่องลง นิ่มดีจัง แม่ชมอีกแล้วว่านิ่มมาก ๆ ไม่สะเทือนเลย สงสัยจะติดใจ)












ถึงสนามบิน รถตู้ (โอ 080-1312909) มารอรับที่สนามบินแล้ว ก็นำของขึ้นรถตู้ เพื่อไปหาข้าวเช้าทาน เพราะหิวมาก จึงไปทานที่ อนุสาวรีย์พ่อขุมเม็งราย แต่ร้านที่แนะนำยังไม่เปิดจึงทานแถว ๆ นั้นแทน ทานเสร็จก็ไหว้พ่อขุนแม่งรายต่อ











ออกจากพ่อขุนแม็งรายก็มาเที่ยวเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม ริมแม่น้ำกกกัน งานเค้าเลิกแล้ว จึงเข้าชมได้ฟรีไม่เสียค่าเข้า ดอกทิวลิปนางเอกของงานเหี่ยวหมด ต้นไม้หลาย ๆ ต้นก็เริ่มเหี่ยวและเจ้าของก็นำรถมาเก็บต้นไม้ แต่เราว่ามันก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างคือไม่มีนักท่องเที่ยว ถ่ายรูปสบายมาก ๆ มีแต่ครอบครัวของเรา แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ได้รูปสวย ๆ ฟรี ๆ แถมไม่มีในโปรแกรมด้วย ไม่เชื่อลองดูภาพดิ๊















สถานที่สวย ๆ คนน้อย ๆ แบบนี้ต้องกระโดดกันหน่อย เรากับหนุ่ยกระโดดก่อน นู๋เพลินเห็นหัวเราะชอบใจใหญ่ จึงมาร่วมกระโดดด้วย ติ๊ด กับหมู ก็มา สนุกมาก ๆ ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ถ้ามีประกวดเด็กกระโดดที่อายุน้อยที่ไหนเราจะส่งเข้าประกวดซะหน่อย น่ารักมาก ๆ กว่าจะได้ภาพ เล่นเอานู๋เพลินเป็นแบบนี้






















ถ่ายรูปจนหน่ำใจก็ขึ้นรถต่อมุ่งหน้าสู่วัดร่องขุ่น ยังสวยเหมือนเดิม (แต่เราว่า 3-4 ปีที่แล้วสร้างยังงัย ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรเพิ่มเติม สงสัยอาจารย์คงไม่มีเวลาสร้าง งานไม่เดินหน้าสงสัยนักท่องเที่ยวคงจะมากันตลอดเวลาจึงไม่มีเวลาต่อให้เสร็จ)












มาครั้งนี้โชคดีได้พบอาจารย์เฉลิมชัย ด้วยถ่ายรูปซะหน่อย ก่อนกลับติ๊ดซื้อรูปฝีมืออาจารย์ไปฝากพี่นนท์ 1 รูป
















และออกมาเจออาจารย์มายืนส่งจึงทักทายกันนิด ๆ หน่อยตามประสาคนรู้จักกัน 555





ออกจากวัดร่องขุ่นก็มุ่งหน้าสู่ดอยตุง ใช้เวลาเปลืองมาก ๆ หมูหิวกาแฟ จึงแวะซื้อที่ร้านนี้ ตกแต่งร้านเก๋ ดี เหมือนที่ปาย บ่ายโมงแล้ว จริง ๆ เราต้องไม่กินกาแฟ แต่เห็นว่าเป็นเงินกองกลาง จึงซัดไป 1 แถ้ว 555 กลัวขาดทุน (ผลสุดท้ายคืนนั้นปวดหัวโครต ๆ )















ก่อนขึ้นดอยตุงแวะทานข้าวที่ร้านค้าก่อนขณะทานข้าว เจ้าของร้านก็ถามว่าเพิ่งลงจากดอยตุงหรือกำลังจะขึ้น พวกเราบอกกำลังจะขึ้น ร้านค้าบอกพอดีเลย ขอฝากพระติดรถไปด้วย 1 รูป ท่านจะไปแจกบทสวดมนต์บนดอยตุงพอดี พวกเราจึงให้ท่านร่วมเดินทางไปด้วย และท่านได้แจกบทสวดมนต์และสร้อยข้อมือลูกประคำมาคนละ 1 เส้น ระหว่างทางไม่ต้องกลัวภัยอันตรายใด ๆ เลย มีพระนั่งหน้ารถ แถมเทศน์ และสนทนาธรรมกับหมูตอนตลอดทางพอถึงดอยตุง ท่านก็เดินแจกบทสวดมนต์ และแลกเบอร์โทร.นัดแนะกันขากลับแล้วเราก็ไปเที่ยวกันต่อ เจ้าหน้าที่บอกต้องไปพระตำหนักดอยตุงก่อนเพราะใกล้ปิด ก่อนขึ้นหมูต้องใส่กางเกงขายาวเหมือนครั้งที่เรากับโป้งใส่เมื่อครั้งที่แล้ว 555 หนุ่ยชอบใหญ่ ครั้งหน้าจะให้มันใส่กางเกงไม่เรียบร้อยบ้างจะได้ใส่ซะให้เข็ด
















ที่พระตำหนักก็ยังคงสวยเหมือนเดิม แต่เรามานอกรอบ จึงไม่มีเจ้าหน้าที่มาคอยแนะนำและให้ความรู้ แต่ก็ให้แม่กับติ๊ดเก็บภาพ สวย ๆ กันสองคน เอาให้เต็มที่นะ เนื่องจากสงสารตั้งแต่เกิดมาเพิ่งจะเคยเที่ยวสถานที่สวย ๆ แบบนี้




























ออกจากพระตำหนัก ก็จะมาเที่ยวที่สวนแม่ฟ้าหลวงต่อ แต่หมู กับพี่จึด และเพลินไม่ไป เนื่องจากเคยไปแล้ว และต้องอุ้มเพลิน เหนื่อยเดินไม่ไหว (สว.) จึงนั่งกินกาแฟรอ ส่วนพวกเราก็พาแม่เดิน และถ่ายรูป สวย ๆ เสียดายถ่ายไม่ค่อยเยอะ เพราะจะสี่โมงครึ่งแล้วยังไม่ได้ไปแม่สายและเข้าที่พักเลย กลับมาแล้วก็เสียดายมาก ๆ คนน้อยดีจัง ผิดกับช่วงเทศกาลปีใหม่ ถ่ายตรงไหนก็เจอตูด เจอปิ๊คนเต็มไปหมด ลาทีการท่องเที่ยวช่วงวันหยุด ต่อไปเราคงต้องเที่ยวนอกเทศกาลแบบนี้จะดีฝ่า 555














ออกจากดอยตุงก็มุ่งหน้าสู่แม่สาย โดยมีพระนั่งติดรถมาด้วยเพราะท่านจะไปแม่สายพอดี พอถึงแม่สายก็ส่งท่านลง และเราก็เดินที่ตลาดแม่สาย แต่ไม่ได้ข้ามไปฝั่งพม่าเนื่องจากด่านปิดแล้ว ส่วน หมู พี่จึด และเพลิน ไม่ได้ลงเดินเนื่องจากเพลินหลับในรถ เราจึงเดินกัน 5 คน ซื้อเกาลัดคั่ว อร่อยดี โลละ 80 บาทเอง ถู๊ก ถูก (ที่เชียงใหม่ขายตั้ง 250 บาทแหนะ) และแวะทานก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย ไม่อร่อยเลยเค็มมาก ๆ หนุ่ยโทร.บอกหมูว่าเรากำลังจะกินก๋วยเตี๋ยวกัน หมูจึงเดินตามมาเพื่อหวังกิน แต่ไปผิดทางแม่งด่าใหญ่ โทร.ถามทางเราบอกชื่อร้านที่มันเห็น แม่งไม่เห็นจะมีเลย สงสัยมันคงหลงทางแน่ ๆ จึงบอกมันไม่ต้องมาแล้ว เพราะเรียกเก็บเงินแล้ว และอีกอย่างรสชาติก็ไม่อร่อยเลย จึงเดินออกมาสักพัก ก็เจอกัน และได้แวะซื้อข้าวเหนียวงาดำย่างกิน ชิ้นละ 5 บาท กินตอนแรกก็อร่อย แต่กินไปกินมา ไม่ค่อยจะอร่อยเท่าไหร่ และเข้าที่พัก เฮือนคำรีสอร์ท





มาถึงก็มืดแล้ว มองไม่ค่อยเห็นอะไร เราปวดหัวมาก กินพาราไป 2 เม็ด อาบน้ำ (เครื่องทำน้ำอุ่นเสีย) รีบนอน ติ๊ดก็นอนด้วยเหมือนกัน ห้องพักจองไว้ 4 ห้อง แม่นอนกับหนุ่ย หมู พี่จืด กับนู๋เพลิน นอนด้วยกัน ส่วนโป้งนอนคนเดียว ตอนแรกจะให้นอนกับคนขับรถ แต่คนขับรถตู้บอกว่าจะไปนอนกับญาติ แถว ๆ เนี่ย จึงนัดให้มารับตอน 8 โมงเช้า

















เช้าวันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2553 อากาศเย็นพอสมควร เราไปอาบน้ำอุ่นที่ห้องแม่ และไปทานอาหารเช้ากัน เสียดายไม่ใช่บุฟเฟ่ เนื่องจากนักท่องเที่ยวน้อย จึงต้องเลือกเอาว่าใครก็กินอะไร แล้วค่อยสั่ง ไม่ค่อยดีเลย อยากกินหลาย ๆ อย่าง อย่างละนิด ๆ แต่ก็ทำไม่ได้ ระหว่างทานมีพระมายืนบิณฑบาตร คณะของเราก็ใส่เงินทำบุญไป นั่งไปนั่งมา พระมาอีก 1 รูป ก็ทำบุญใส่เงินอีก (ถ้านั่งทานนานกว่านี้อาจจะมาอีกทั้งวัดได้รีบอิ่มเถอะ)














หลังอาหารเช้าเสร็จ ต้องรีบเดินทางออกเนื่องจากวันนี้ต้องเดินทางไกลมาก ต้องขับจากเชียงรายเพื่อไปเชียงใหม่ ระหว่างเดินทางแวะถ่ายรูปน้ำพุร้อน (แต่โอบอกว่าเค้าติดปั๊มน้ำ มันถึงพุ่งขึ้นสูงได้ขนาดนี้ โธ่......สาดดดดด )













และก็ถึงสวนส้มธนาธร ตอน 10 โมงกว่า ๆ (ขนาดรีบแล้วนะ) นั่งเรือรถ ชมสวนส้ม เจ้าหน้าที่พาชมรอบ ๆ สวน แวะซื้อน้ำส้มคั้นดื่ม และเก็บส้มจากสวน ถุงละ 299 บาท 1 ถุงจุได้แค่ 4 โลเอง (ตอนแรกเป็นถุงไหมพรมเก็บได้ 7 โล เจ้าของเปลี่ยนเป็นถุงผ้าแบบใหม่เก็บได้แค่ 4 โลเอง นิดเดียว แต่เก็บไปก็กินไป ไม่ได้ถ่ายรูปกับต้นส้มเลย หมูกับพี่จืดกินไม่หยุด ส่วนคนอื่น เป็นตากล้องและแม่ผู้กำกับชี้ให้หนุ่ยตัดสนุกดี แต่เวลาน้อยไปหน่อย เพราะนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มที่มาด้วย..ดันไม่เก็บส้มและขึ้นไปรอบนรถ เราจึงต้องรีบตามเค้าแย่จัง ไม่น่ามาด้วยกันเล้ยยย
















ไร่ส้มธนาธรใหญ่มาก ๆ สวยอีกต่างหาก วิวตรงจุดชมวิวสวยดี โรแมนติกมาก ๆ ถ้าตอนเช้า ๆ อากาศเย็น ๆ ยืนมองออกไปคงจะได้บรรยากาศไปอีกแบบ สวยแบบนี้นี่เอง หนังหลาย ๆ เรื่องชอบถ่ายทำที่นี่ ของเค้าสวยจริงๆ















ก่อนกลับเราซื้อส้ม 1 กล่องเล็ก (5 โล จำราคาไม่ได้หละ) ฝากที่ทำงาน และอีก 1 กล่องใหญ่ (84 ผล ราคา 440 บาท) กลับบ้านแบ่งกัน พอมาเปิดที่บ้าน ขอติไร่ส้มธนาธรหน่อยเถอะ ผลส้มแถวบน สวย ลูกเหลืองใหญ่ แต่พอแถวล่างสุด สีเขียวง่ะ แถมส้มบางลูก คนงานแม่งชั่วจัญไร คือส้มทุกผลจะมีสติ๊กเกอร์แปะทุกลูก มีบางลูกส้มเสีย มันเลวมากมันใช้สติ๊กเกอร์แปะตรงตำหนิ ปิดบังความชั่วเอาไว้ พอแกะสติ๊กเกอร์ออกมา สาดดดด เลวได้ใจ ทำแบบนี้ไม่ดีเลย เสียดายไม่ได้ถ่ายภาพเอาไว้ส่งให้ทางไร่ดู ถ้าใครไปสวนธนาธร ก็ฝากบอกด้วยละกัน ว่าอย่าทำอย่างนี้อีก เสียความรู้สึก ส้มแค่ไม่กี่ลูกแต่ทำแบบนี้เสียหายมากนะ อย่ามักง่ายแบบนี้อีก ถ้าไปคราวหน้าจะด่าให้ " อีส้มเน่าเอ้ย 555"
















ออกจากไร่ส้มก็เกือบจะเที่ยงแล้ว ยังไปไม่ถึงไหนเลย (จะไปอ่างขางทันไหมเนี่ย) ท้องหิวแล้ว จึงแวะทานก๋วยเตี๋ยว ร้านอะไรก็ไม่รู้จำไม่ได้แล้ว รสชาติก็พอใช้ได้ (แต่ก็ไม่ใช่ว่าเลิศเลอนะ) เห็นมีรูปถ่ายคู่กับ มรว.ถนัดศรี ฯ ด้วย ออกจากร้านถามโอ ว่าจากที่นี่ไปอ่างขางใช้เวลานานไหม โอบอกว่าประมาณ 4 ชั่วโมง แม่เจ้า... ถึงอ่างขาง 4 โมงกว่า ยังไม่ได้เดินเที่ยวอีก และจากอ่างขางมาที่พักที่เชียงใหม่ อีกเท่าไหร่เนี่ย แถมนัดศูนย์วัฒนธรรมขันโตกมารับตอน 6.45 น.ด้วย ทำงัยหละ จึงเปลี่ยนแผนใหม่ ไม่ไปอ่างขางแล้ว แต่ไปที่พักเลยแล้วกัน โรงแรงพิเพิลเพลช เลยดีฝ่า ถ้าเวลาเหลือหาร้านนวดตัว นวดฝ่าเท้าฆ่าเวลาจะดีกว่า ถามสมาชิกทุกคน เห็นด้วยหมด (ทริปนี่มีแต่คนชอบนวด) จึงตกลงตามนี้








ถึงโรงแรม ประมาณ 4 โมงครึ่ง (ดีนะที่ตัดอ่างขางออก) เก็บของเข้าที่พัก พักเหนื่อยสักพัก ก็ออกไปหาร้านนวดอยู่แถว ๆโรงแรมเดินนิดเดียว (พี่จึดกับเพลินไม่ไปเล่นรถอยู่ในห้องพัก) พวกเรา 6 คนก็มุ่งหน้าสู่ที่หมาย เรา แม่ หนุ่ย ติ๊ด นวดฝ่าเท้า ส่วนหมู กับ โป้ง นวดตัว หมอนวดไม่พอ เจ้าของร้านจึงโทร.เรียกหมดนวดมาจนครบ มีหมอนวดอยู่คนหนึ่งเดินเข้ามา (เป็นประเทือง) ทุกคนรีบบอกเลยว่าคนนี้ให้โป้ง 555 สงสัยจะจริงของหมอลักษณ์ ที่บอกว่าโป้งจะโดนประตูหลัง ก็เล่นปิดม่านนวดกันเงียบเลย มีแต่เสียงหมูตอน ร้องโอ๊ย โอ๊ย ตลอด ไม่เห็นมีเสียงโป้ง เลย สงสัยงานจะเข้าหนุ่ยซะหล่ะมั๊ง






นวดเสร็จก็เกือบ 6 โมงครึ่ง รีบกลับมาเตรียมตัว เพราะรถจะมารับ 6.45 น. - 1 ทุ่ม (รอ รอ กว่ารถจะมาก็ ทุ่มกว่าหน่อย ๆๆ) ถึงที่ศูนย์วัฒนธรรมขันโตก ตอนทุ่มเกือบครึ่ง ลูกค้านั่งกันเต็มแล้วง่ะ แต่ว่าเราจองที่นังเรียบร้อยจึงไม่ต้องกังวล ที่นั่งจะเป็นนั่งกับพื้นเป็นกลุ่ม นั่งปุ๊ป มีชาวเขานำพวงมาลัยมาคล้องคอ และถ่ายรูป ถ่ายเสร็จก็เสริฟอาหาร วางบนโตก (ทำอะไรเร็วมาก ๆ ) อาหารจะมี แกงฮังเล น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง แคปหมู ผัดผัก ผักจิ้ม น่องไก่ทอด หมี่กรอบ ฝักทองทอด พออาหารมาเสริฟ ติ๊ดบอกกินไม่หมดหรอกเนอะ เราบอกจะบ้าเหรอ น้อยแค่เนี้ยไม่พอกูกินหรอก (ก็คนมันหิวนะ) กินไปกินมา พออาหารจานไหนพร่องพนักงานก็จะเข้ามาถามว่าเติมใหม เรียกว่าเติมไม่อั้น โอ๊ยแบบนี้ก็แย่นะสิ กินเท่าไหร่ก็ไม่ยุบ พยายามกิน กิน กิน แต่มันก็กินไม่หมดว้า..แย่จัง ไอ้ติ๊ดได้ทีด่าเลย ไหนเจ้าบอกว่าไม่พอกินงัย แหมก็คนมันตะกละง่ะ ทำงัยได้ 555 .......
















หลาย ๆ คนบอกว่าขันโตกไม่อร่อย (เคยกินหรือเปล่าก็ไม่รู้ อาจจะฟังเค้ามาพูดอีกทีแบบนี้มันต้องลองด้วยตัวเอง) มาเชียงใหม่หลายครั้งไม่เคยกินขันโตกซักที แบบนี้มันต้องพิสูจน์ และก็ไม่เสียใจเลย โดยเฉพาะน้ำพริกหนุ่ม เราว่าอร่อยเชียวหล่ะ มันอาจจะไม่เผ็ดมาก เนื่องจากแขกที่นั่งส่วนมากจะเป็นฝรั่ง/ชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย รสชาติจึงต้องอ่อนลงหน่อย แต่ก็จัดว่าอร่อยนะ
















ระหว่างทานก็มีการแสดงให้ชมหลายชุด ดีจัง และที่ดีที่สุดคือเราจองผ่าน INTERNET จึงได้ตุ๊กตาหลินปิงคนละตัว คุ้มแล้ว ราคา 370 บาท ต่อหัว เราว่าคุ้มนะ ไม่แพงเลย















การแสดงยังไม่จบมีต่อข้างนอก แต่พวกเราไม่ดูแล้ว เนื่องจากต้องไปเดินไนท์บาซ่าร์ กันอีกจึงให้รถตู้ที่ศูนย์วัฒนธรรมไปส่ง (ฟรี) บริการดีจัง แบบนี้ใครไม่เคยไปรีบไปซะนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่ชวน


















มาถึงที่โรงแรม หมู พี่จืด และเพลิน ไม่ขอเดิน พวกเราจึงไปเดินกัน 5 คน ไนท์บาซ่าร์กับที่พักไม่ไกลกัน เดินออกไปนิดเดียว ตอนแรกเดิน ๆ ดูของ (พี่นนท์บอกให้ติ๊ดซื้อม้า 2 ตัว ยกเท้าขวา) พวกเราก็เดินหากันใหญ่ แต่ทำไม๊ ทำไม ตลาดไนท์บาซ่าร์ ตอนนี้กับเมื่อ 10 ปีที่แล้วมันเปลี่ยนไปมาก ๆ จัง เหมือนตลาดนัดบ้านเราเลยง่ะ แล้วถนนรถมันไปไหนว๊ะ เดินด่ากับไอ้หนุ่ย เดินไป-เดินมา กลับดีฝ่า แต่ก่อนกลับให้โป้งถาม รปภ. แถวนั้นว่าตลาดวโรรสอยู่ตรงไหน จะไปซื้อลูกท้อดอง รปภ.ชี้บอกทางนู้น ตรงตลาดไนท์บาซ่าร์ ....อ้าว ว่าแล้วเชียว ว่าตรงที่เราเดินมันไม่ใช่ไนท์บาซ่าร์นี่ มิหน่าหละถึงแปลก ๆ

เดินออกมาเรื่อย ๆ มาโผล่ตลาด ใช่เลย ....เนี่ยแหละไนท์บาซ่าร์เมื่อกี้ไม่ใช่ แต่ก็เดินดูของไปเรื่อย ๆ เกือบทุกร้านจะขายของที่ระลึกให้พวกฝรั่ง มีรูปภาพ กางเกงมวยไทย เสื้อผ้า ฯลฯ มันก็เปลี่ยนไปจริง ๆ แหละ เมื่อก่อนร้านค้าจะขายของกินริมถนนเต็มเลย มีบ๋วยดอง ของเหนือ ๆ น่ารัก พ่อค้า-แม่ค้าจะพูดภาษาเหนือกัน แต่เดี๋ยวนี่พ่อค้า-แม่ค้า พูดภาษาฝรั่งอ่ะ เหอ....ความเจริญเข้ามาที่ไหน วิถีชีวิตของคนก็เปลี่ยนไปตามกระแสนิยม ไม่ชอบเลย...เราว่าเสน่ห์ของเมืองเชียงใหม่แท้ ๆ มันหายไป น่าเสียดายนะ



สงสัยจะดึกจริง ๆ หนุ่ยแอบหาวแล้วอ่ะ


เดินดูของไปเรื่อย ๆ หาม้ายกเท้าขวา ให้พี่นนท์ (ร้านขายเป็นคู่ ยกเท้าซ้ายตัว และขวาตัว) แต่พี่นนท์จะเอายกเท้าขวา 2 ตัว ติ๊ดโทร.เข้าไปถามแต่ไม่ใครรับสาย สงสัยจะนอนกันหมด ก็แหง๋แหละ ตอนนี้มันก็ปาเข้าไป 4 ทุ่มแล้วนิ๊ เมื่อติดต่อไม่ได้ เลยไม่ได้ซื้อ และเดินหาร้าน internet cafe เพื่อจะ load รูปในmem เครื่องหมูลงแผ่นเนื่องจาก mem เต็มยังเหลือพรุ่งนี้อีกวันแต่ไม่มีพื้นที่เหลือ แต่หาแล้วไม่มีเลย มีแต่นวดฝ่าเท้า เยอะมาก ๆ จะเดินต่อไปตลาดวโรรส ร้านค้าบอกว่าเดินไปอีก 10 นาที จึงไม่เอาดีฝ่า เมื่อยขาแล้ว จึงเดินกลับที่พักจะดีกว่า ระหว่างทางหนุ่ยกับโป้งแวะดูเสื้อบอล แต่ไม่ได้ (เนื่องจากอะไรไม่รู้ ไม่มีตังค์ หรือไม่มีไซด์อะไรเนี่ยแหละ) กลับที่พักประมาณ 5 ทุ่ม อาบน้ำนอนพรุ่งนี้ต้องไปเที่ยวกันแต่เช้า




ตื่นนอนตอนเช้า หิวแล้ว ตอนแรกจะเข้าไปทานอาหารที่โรงแรม (จ่ายเงินเพิ่ม) ไม่รวมกับค่าห้อง มีให้เลือกน้อยทางโรงแรมแนะนำว่าเดินไป 2 นาทีไปทานเองที่ตลาดเช้าจะดีกว่า จึงเดินไปทานกัน





อาหารจะเป็นข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว กาแฟ รสชาติก็ใช้ได้ แถมราคาไม่แพงด้วย (ประหยัดเงินได้เยอะเลย 555)

8 โมงเช็คเอ้าท์ ออกเดินทางสู่ดอยอินทนน์ (ตามโปรแกรม ดอยอินทนน์ ดอยสุเทพ สวนสัตว์เชียงใหม่)
ถึงดอยอินทนน์ 10 โมงกว่า ๆ ตอนออกจากตัวเมืองอากาศไม่หนาว (ร้อน) พอถึงดอยอินทนน์ หือ...ต่างกันลิบลับเลย หนาวจัง (อุณหภูมิ 11 องศาเท่านั้น ถ้าตอนกลางคืนคงจะหนาวน่าดู) นักท่องเที่ยวน้อยได้ใจ ถ่ายรูปสบาย ๆ ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว มีแต่คน ถ่ายป้ายสูงสุดแดนสยาม คนเพียบเลย ตอนนี้มีแต่พวกเรา 555

























เมื่อคืนถ้านอนที่นี่ก็จะดีสิ 5 องศาเอง น่านอนจัง





















ถ่ายรูปจนหนำใจ ก็มาขึ้นรถเพื่อมุ่งสู่ดอยสุเทพ พี่จืดโผล่หัวมาที่รถ บอกว่าแป๊บนึง เดี๋ยวเดินไปตรงนู้นแป๊บนึง (หมูก็ป้อนมาม่าคัฟให้นู๋เพลิน) ติ๊ดบอกว่าระหว่างรอ ไปกระโดดถ่ายรูปกันดีฝ่า เราจึงเดินลงจากรถกันอีก หาที่กระโดดไม่มี จึงมองไปว่าพี่จืดไปไหนว๊ะ จึงเดินตามไปดูกัน อ๋อมันคือ "เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา ศาลเจ้ากรมเกียรติ" 180 เมตรเอง จึงเดินตามไป สวยง่ะ อากาศเย็นสบาย ๆ เส้นทางก็สวยเหมือนเดินเข้าไปในหุบเขาดึกดำบรรณ์ และสวนกับพี่จืด พี่จืดบอกว่าเดินไปศาลเจ้ามา ไม่ไกล และเดินย้อนศรตรงนี้นิดเดียว สวยมาก ๆ พวกเราจึงเดินตามไป สวยโครต ๆ สวยมาก ๆ เหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง และไปไหว้ศาลเจ้า ออกมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ขอพรท่านด้วยว่าปีหน้าขอให้มีเงินทองเหลือมากพอ จะกลับมาพักที่นี่และมาที่นี่อีก สวยมาก ยังดื่มด่ำกับความสวยได้ไม่เท่าไหร่เลยต้องรีบกลับเพราะยังมีโปรแกรมสำหรับวันนี้อีก จึงต้องตัดใจลา ..... แล้วฉันจะกลับมาอีก (ถ้ามีเงิน)




ออกจากดอยอินทนน์ ก็ปาเข้าไปเกือบบ่าย แล้วจึงแวะทานอาหารเที่ยงกันที่ร้านอะไรจำไม่ได้ แล้วอาหารอร่อยมาก ๆ โอกาสหน้าจะมาทานใหม่นะ (เห็ดหอมอร่อยสุด ๆ )

ออกจากดอยอินทนน์ก็บ่ายแล้ว จึงต้องตัดโปรแกรมเที่ยวสวนสัตว์เชียงใหม่ออก (รอหลินปิงเป็นเมนก่อน...และจะกลับมาอีกครั้งนะ) ขับไปเรื่อย ๆ พี่จืดคุยกับคนขับเรื่องม้าไม้สัก (ของติ๊ด) โอเลยพาแวะหมู่บ้านถวาย เป็นหมู่บ้านแกะสลักไม้สัก ส่งของไปทั่วโลก จึงแวะเข้าไปดูกัน (15.30 น.) ทุกร้านจะขายของเหมือน ๆ กันเป็นไม้แกะสลักรูปต่าง ๆ สวย ๆ ทุกร้าน นู๋เพลินชอบใจใหญ่ ถูกใจมาก ๆ ชอบจรเข้ เข้าไปกอด ชอบนู้น ชอบนี่ เราเลยไปรูปสวย ๆ มาเยอะแยะเลย ไม่ต้องบังคับให้ถ่ายเหมือนแม่มัน (แม่ใจยักษ์บังคับให้ลูกพูดสตอเบอร์รี่ ๆๆๆ ) ดูเอาเองแล้วกันว่าออกมาสวยแค่ไหน 555




















ถ่ายไปถ่ายมา เข้ามาแต่งสวยให้ลูกอีก (ติดกิ๊ป) เราว่าผมยุ่ง ๆ สวยกว่านะ








เจอม้ายกเท้าขวาแต่ไม่ใช่ไม้สัก พี่นนท์ไม่เอา (เหมือนที่ไนท์บาซ่าร์เปี๊ยบเลยแต่ที่ไนท์ไม่จริงใจบอกว่าไม้สัก แถมราคาแพงกว่าที่นี่ตั้งเยอะโกหกชัด ๆ ดีนะที่ไม่ได้ซื้อมา) ติ๊ดเลยบอกว่าไม่เป็นไรไม่ซื้อก็ได้ เรื่องมากเดี๋ยวไม่ชอบใจด้วย เลยนั่งพักที่ร้านค้า ซื้อก๋วยเตี๋ยวให้นู๋เพลินกิน ส่วนพี่จึดเดินหายไปไหนไม่รู้ นั่งที่ร้านค้าไปสักครู่ พี่จืดเดินหน้าตื่นมา บอกหมูว่าเจอแล้ว หมูแป้วเลย เอาแล้วกรู เสียเงินแน่แล้ว แต่พี่จึดบอกว่าเป็นไม้แกะสลักเป็นแผ่นนะ (ไม่ใช่เป็นตัว ๆ) ม้า 9 ตัว ยกเท้าขวาหมดเลย ทุกคนเลยเดินตามไป



ร้านราชาวดี เป็นร้านไม้สักแกะสลักทั้งร้าน สวย ๆ ทั้งนั้นแหละ สวยที่สุดในร้านก็คือม้าแกะสลักของติ๊ดนั่นแหละ ติ๊ดตกลงเอาแผ่นนี้ หมูกับพี่จืดก็ชอบใจรูปปลาทอง สวนหนุ่ย ก็เอารูปปลาเหมือนกัน ส่วนเราแม่เรียกมาบอกว่าเอาอันนี้สิ รูปช้าง สวยดี ไม่แพง เราจึงเอามา 1 แผ่น ปรากฏว่าได้มาคนละชิ้น รวม 4 ชิ้น จ่ายเงินและพรุ่งนี้ทางร้านจะส่งขนส่งให้ที่บ้านติ๊ด เป็นอันได้ของกันทุกคน โดยไม่ได้คาดฝัน 555














ออกจากหมู่บ้านถวายเกือบ 5 โมง รีบมุ่งหน้าสู่ดอยสุเทพ (กลัวจะปิดเหมือนกันแต่ก็มาแล้วนิ เสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน) ถึงดอยสุเทพ เกือบ 6 โมงเย็น ถ้าต้องเดินขึ้นบันไดไป คงไม่ทันแน่ ๆ กลัวจะปิดซะก่อน จึงซื้อบัตรนั่งรถรางไฟฟ้าขึ้นไป (ครั้งแรกอีกแระ ปกติจะใช้เท้าเดิน ทริปนี้ ไฮโซโครต ๆ)




ที่องค์พระธาตุ กำลังบูรณะอยู่ จึงไม่ค่อยสวยเหมือนทุก ๆ ครั้ง แต่แตกต่างกันก็ตรง ไม่มีคน 555 ซื้อดอกไม้ ธูป เทียน แล้วก็เดินเวียนเทียนกันที่องค์พระธาตุ พี่จึด เดินนำหน้า หมู เพลิน และ เรา ตามด้วย แม่ และก็ อีก 3 คน เดินเวียน 3 รอบ ระหว่างเดินได้ยินเสียง ปิ๊ด ปิ๊ด ตลอดทาง (ได้ยินเสียงชัดเนื่องจากไม่มีนักท่องเที่ยวนอกจากพวกเรา) ก็คิดว่าสงสัยจะเป็นเสียงเบียดของกางเกงยีนส์ มองหมู ก็ไม่ใช่ กางเกงผ้า หันหลังไปมองแม่ ก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่เป็นกางเกงวอม์ม เสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ แถมก็อยู่ใกล้ ๆ และก็เจอต้นเสียงคือนู๋เพลินนั่นเอง เดินเท้าเปล่า กับเสื่อน้ำมัน โห..ตัวนิดเดียวแต่เดินโครตดังเลย เล่นเอาหัวเราะกันตลอด 3 รอบเลย













เย็นแล้ว พระเดินขึ้นมาเพื่อทำวัตรเย็นที่โบสถ์ สวยดี (หมูจะรอเอาน้ำมนต์ แต่ว่าคงอีกนานกว่าพระจะสวดมนต์เสร็จ ระหว่างพระสวดมนต์ จะมีชาวต่างชาติ แต่งขาวนั่งสวดด้วย น่าเลื่อมใสแทนคนไทยจริง ๆ อายง่ะ




















หลังจากไหว้พระเสร็จ ก็มาถ่ายรูปกับพระธาตุ เนื่องจากพระอาทิตย์ตกพอดี (ตอนแรกคิดว่าเป็นแสงของพระอาทิตย์.... แต่ไม่ใช่....เป็นสปอร์ตไลท์ ของทางวัดส่องที่พระธาตุนั่นเอง เป็นครั้งแรกในชีวิตอีกแล้ว ที่ได้เห็นพระธาตุยามค่ำคืน สวยไปอีกแบบ จึงตั้งกล้องถ่ายภาพหมู่ กว่าจะถ่ายได้ มีนักท่องเที่ยวมาสอนการใช้โหมดต่าง ๆ และพี่จึดสอนการใช้ขาตั้งกล้องแบบแนวตั้ง โห..... ฟายยยย ใข้มาตั้งหลายปี ไม่นึกว่าทำได้ ถ้าไม่ได้พี่จึดเนี่ยคงเป็นฟายยยยไปอีกนาน

ออกจากดอยสุเทพ ก็มุ่งหน้าสู่สนามบิน ระหว่างเดินทางลงเขา โอแวะให้ดูดาวบนดิน หรือจุดชมวิวของเมืองเชียงใหม่ สวยโครต ๆ ยิ่งตอนทุกบ้านเปิดไฟ และมองลงไป สวยจัง ไม่เสียแรงที่ได้เดินทางมาไหว้พระธาตุยามค่ำคืน ได้ประสบการณ์ไปอีกแบบ จอดถ่ายรูป แต่กล้องก็ไม่สามารถเก็บภาพได้ ทุกคนจึงขอเก็บความประทับใจ และความสวยงามเอาไว้ในความทรงจำจะดีกว่า (ซึ้งป่ะ)

ถึงสนามบิน 2 ทุ่มเห็นจะได้ หนุ่ยเคลียร์ค่าใช้จ่ายกับรถตู้เสร็จ ก็เข้ามาเช็คอิน และโหลดกระเป๋า เวลาเหลืออีกเยอะ และหิวด้วย จึงเข้าไปทานอาหารเย็นที่ครัวการบินไทย รสชาติก็ไม่ได้อร่อยเท่าไหร่ กลาง ๆ (น่าจะให้ต่างชาติทาน) แถมปลาก็เน่าด้วย คือหมูสั่งชุดอะไรไม่รู้ให้เพลิน ปลาชุปแป้งทอดมันมีกลิ่นเหม็น จึงเรียกพนักงานมาชิม และเค้าก็เอาไปที่ครัวและทำมาใหม่ (เฉพาะปลานะ) ไม่มีคำว่าขอโทษสักคำ บอกแต่เพียงว่า นำปลาออกจากตู้แช่นานไปหน่อย จึงทำให้มีกลิ่น (เน่า) แต่ก็ไม่มีคำว่าขอโทษหลุดออกจากปาก แย่จัง นี่เหรอครัวไทย ตัวแทนครัวโลก บัดซบ ไอ้สาดดดดดด





















ทานข้าวเสร็จก็มานั่งรอขึ้นเครื่อง (เคลีย์เงินคืนด้วย) เครื่องออก 4 ทุ่ม 20 นาที ตรงเวลาเป๊ะ เป็นเที่ยวสุดท้ายของสนามบินเชียงใหม่เลย ขากลับนั่งเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนฝั่งเป็นฝั่งขวาบ้าง (เนื่องจากไม่มีแดด) แรก ๆ ก็เห็นเมืองเชียงใหม่สวยดี แต่พอเครื่องไต่ระดับแล้ว ก็ไม่เห็นอะไรแล้ว นึกกลัวเหมือนกัน ตาเรายังมองไม่เห็นเลย คนขับเครื่องบินจะมองเห็นทางเปล่าเนี่ย 555 ตอนเครื่องลงลำนี้ไม่นุ่มเหมือนตอนมา สะเทือนนิดหน่อย (แม่บอก ลำแรกนุ่มกว่า) และกว่าจะวน และจอดให้เราขึ้นรถต่อ นานอ่ะ เนื่องจากสนามบินสุวรรณภูมิมันใหญ่ติดอันดับโลกนิ พอลงจากเครื่องก็รอสายพานลำเลียงกระเป๋านานมาก ๆ ครึ่งชั่วโมงได้มั๊ง และได้กระเป๋ามาก็แบ่งส้มที่ซื้อมากันก่อนกลับ และแบ่งรถออกเป็น 2 คันเหมือนตอนมา และไปเข้าคิวเรียกรถแท็กซี่กลับบ้าน คันเรากลับเส้นทางเดิม เนื่องจากต้องมาส่งเราที่บ้าน ค่ารถก็ 500 บาท (รวมค่าใช้จ่าย 50 บาทของรถแท็กซี่ด้วย คนนั่งรับภาระออก) ส่วนอีกคันกลับอีกเส้นทาง ขึ้นทางด่วน (เสือกเร็วเอง) ค่ามิเตอร์ 200 กว่าบาท คนขับแม่งตุกติก ไม่ยอมบอกว่าน้อย ให้โทรถามคันเรา เอี้ยยยย อะไรก็ไม่รู้ บอกว่าขาดทุน ห่าอะไรเนี่ยแหละ หนุ่ยจึงรำคาญให้แม่งไป รวมค่าทางด่วน และค่าใช้จ่ายอีก 50 บาท ให้ไป 500 บาท เท่ากัน

ทุกคนถึงบ้านปลอดภัยไม่เหนื่อยเลย เราลาพักร้อน 3 วัน เลยนอนตื่นสายได้พรุ่งนี้ไม่ต้องไปทำงาน ส่วนพี่จึด กับโป้งน่าสงสารต้องไปทำงานต่อพรุ่งนี้ (เก่งจัง) ติ๊ดบอกกับเราว่า ขอสักครั้งจะขึ้นเครื่องบินของการบินไทย จะพาสามีและลูกมาด้วย โห....การบินไทยก็แพงนะดิ๊ อยากขึ้นก็ออกส่วนต่างให้เราก็แล้วกัน 555 พบกับใหม่ทริปหน้า จะเดินทางด้วยเครื่องบินอีก ติดใจเสียแล้ว เจอกันทริปหน้านะจ๊ะ blog นี้ใช้เวลาเขียนนานมาก ๆ เนื่องจากงานเยอะ แต่ก็ขอขอบคุณที่ได้เข้ามาติดตามอ่าน เจอกันทริปหน้าจ้า บ๊าย บาย จุ๊บ ๆ

ค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทาง (หนุ่ยถือเงิน ครั้งแรกในชีวิตอีกแล้วอ่ะ)


ทริป เชียงราย - เชียงใหม่ (3วัน 2คืน)


เก็บเงินกองกลาง ผู้ใหญ่ 7 คน @ 10000 บาท นู๋เพลิน 4000 บาท รวมรายรับ 74000 บาท
ค่าใช้จ่าย - ค่าตั๋วเครื่องบิน 30,280 บาท , ค่าห้องพักคำรีสอร์ท 4 ห้อง @ 800 รวม 3200 บาท ,ค่าโรงแรมพีเพิลเพลส 2,400 บาท , ค่าขันโตก 7 คน @ 370 รวม 2590 บาท , ค่าแท็กซี่ บ้าน - สุวรรณภูมิ( 2 คัน +ทางด่วน) 1,020 บาท , อาหารเช้าเชียงราย (ข้าวเลือดหมู ,ข้าวมันไก่) 330 บาท, ค่าดอกไม้ ธุปเทียน ไหว้พ่อขุนเม็งราย 70 บาท ,ทำบุญที่วัดร่องขุ่น 20 บาท , ส้ม 1 ถุง กินในรถตู้ 35 บาท, แวะกินกาแฟเย็น 3 แก้ว ,ชานม 1 (โชเฟอร์) 230 บาท, อาหารกลางวัน (ข้าวราดแกง , ข้าวซอย) 300 บาท, ค่าเข้าพระตำหนักดอยตุง ,สวนแม่ฟ้าหลวง ,กาแฟ 1,040 บาท, เกาลัคตลาดแม่สาย 1 ถุง 80 บาท, เมล็ดทานตะวัน 1 ถุง 35 บาท, เกี๋ยวเตี๋ยวสุโขทัย ตลาดแม่สาย 5 ชาม 170 บาท, ข้าวเหนียวงาดำ 9 ชิ้น 45 บาท, เอ็นหมู + ข้าวเหนียว 120 บาท, โป้งเหน่ง 35 บาท, ทำบุญใส่บาตรพระ (2 รูป) 120 บาท, ค่าเข้าสวนส้ม (คนละ 30 )รวม 210 บาท, ซื้อน้ำส้มในสวนส้ม 7 ขวด@ 30.รวม 210 บาท, แพ็คเกจ เก็บส้มในสวนธนาธร (ชั่งได้ 4 กิโล) 299 บาท, อาหารกลางวัน 250 บาท, ค่าทิป (เข็นกระเป๋าเข้าห้องพัก) 20 บาท , นวดตัว ,นวดขา (ขี้เมื่อย 6คน@180) 1,080 บาท, ค่ารูปถ่ายที่ขันโตก 6 ใบละ 100 รวม 600 บาท, ค่าทิปรถตู้รับ - ส่ง จากขันโตก 40 บาท, อาหารเช้าที่ตลาด (ข้าวราดแกงเมืองเพชร , กาแฟ ,ปาท่องโก๋) 300 บาท , กล้วยแขกที่ปั้มน้ำมัน 20 บาท, ค่าเข้าดอยอินทนนท์ (8คน@40.- ,รถ 30.-) รวม 350 บาท, ค่าอาหารกลางวัน (ข้าวผัด ,ก๋วยเตี๋ยว,ปลาทับทิม,เห็ดหอมผัดซีอิ๊ว) 625 บาท, แวะบ้านถวาย (ก๋วยเตี๋ยว 2 ชาม,เครื่องดื่ม) 156 บาท, ค่าลิฟท์ขึ้นดอยสุเทพ (7คน@20) 140 บาท, ดอกไม้ ธูปเทียน ไหว้ดอยสุเทพ 70 บาท , บุญหยอดตู้ 100 บาท,ค่าน้ำมันรถ (เติม 2 ครั้ง 940+1200) 2140 บาท ,ค่าเช่ารถตู้ 3 วัน @ 1800 รวม 5,400 บาท, ค่าขึ้นดอยสูง 1 จุด = 300 บาท, ค่าตีรถตู้กลับเชียงราย = 500 บาท , จ่ายพิเศษ(ทิป) 500 บาท, อาหารเย็น ภัตตาคารที่สนามบินเชียงใหม่ 1,010 บาท, หนูเพลินหยิบใส่กระเป๋า 20 บาท ,ค่าแท็กซี่ 2 คัน @540(หล่นอยู่ในกระเป๋าหนุ่ย10.-) 1,090 บาท, รวมค่าใช้จ่าย 57,550 บาท เหลือคืน 7 คน @ 2,350 บาท ...... สรุป ทริปนี้เสียคนละ 7.650 บาท

*** ค่าแท็กซี่เกิดขึ้นจริง

แท็กซี่คันหนุ่ย(ค่าทางด่วน 70 ,มิเตอร์ เกือบ 300 คนขับบอกมิเตอร์ขึ้นช้า เลยให้ไป 430 บาท รวม 500 บาท , แท็กซี่คันหมู (ค่าทางด่วน 40 มิเตอร์ 415 จ่ายคืนสนามบิน 50 ) 505 บาท รวม 2 คัน 1005 บาท