วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2552

ณ.....น่าน ไม่นานเกินรอ

สวัสดีปีใหม่ 2552 ปีนี้นี้เป็นอีกปีที่ต้องไปเยือนภาคเหนือเป็นประจำทุก ๆ ปีและ สถานที่แห่งนี้ คือ จังหวัดน่าน ณ ดอยเสมอดาว ซึ่งตามโปรแกรมแล้ว จะต้องไปเมื่อปีที่แล้ว แต่โปรแกรมเปลี่ยน จึงต้องเก็บข้อมูลและรอคอยจนครบ 1 ขวบพอดิบพอดี รวบรวมสมาชิกได้ 8 คน มี นุช ฮ้อน หนุ่ย โป้ง หน่อย ต้น ติ๊ก และ สว.ว๋ง คนน้อยหวะ ไปรถ 2 คัน ค่าใช้จ่ายตั้งงบไว้ 3000 พัน จะพอหรือเปล่า (แต่ในใจเราน่าจะพอ นะ เพราะว่าน้ำมันรถราคาลงเหลือ 19 บาท และพักบ้านพัก แค่ คืนเดียว นอกนั้นนอนเต้นท์ ) แต่ตุ๊กติ๊กนะสิ ไม่ได้ทำงานและงบก็น้อย ทำงัยหละตัวหารเสือกน้อยด้วย ก็ไอ้อจ.นุช มันไม่ยอมมา ก็เลยให้ทุกคนลองหาคนเพิ่ม เพื่อจะได้ช่วยกันหารค่าใช้จ่าย และโชคก็เป็นของเรา ตุ๊กติ๊กโทร.บอกว่าได้สมาชิกเพิ่มอีก 1 คน คือพี่ผ่อง และโชคดีกันเป็นชั้นที่สอง หน่อยก็ได้สมาชิกเพิ่มอีก 1 คือพี่เบญ รวมเป็น 10 คน พอดีรถเลย เป็นอันว่าทริปนี้ คนครบ เย้.... ก่อนถึงวันไป ก็ mail โปรแกรมให้เพื่อน ๆ ก่อน และกำชับว่าทุกคนต้องมีเมนูเป็นของตัวเอง เพราะว่าทริปนี้ทำกินเองค่อนข้างมาก ๆ

วันที่ 30 ธันวาคม 2551 สมาชิกมาครบที่บ้านเราเอง เก็บเงิน เก็บของ ออกเดินทางประมาณ 5 ทุ่มกว่า ๆ มั้ง และคณะเดินทางของเราก็เริ่มขึ้น รถคันของเรามี 5 คน คือ นุช ฮ้อน หนุ่ย โป้ง และ สว.ว๋ง และอีกคัน คือ หน่อย ต้น ตุ๊กติ๊ก พี่ผ่อง และพี่เบญ ระหว่างทางรถเยอะบ้าง แต่ก็ขับทำเวลาได้ดี เราถึงที่แรกคือ อช.ขุนสถาน เป็นทางผ่าน เราจึงแวะถ่ายรูปกันที่ หน่วยจัดการต้นน้ำขุนสถาน ซึ่งที่นี่มีต้นนางพญาเสือโคร่งมาก กว่าที่อช.ขุนสถาน ซึ่งจะเป็นที่พัก และชมวิว เราจึงจัดแจงลงมาถ่ายรูปกัน ที่นี่สวยดีนะ คนไม่เยอะ แถมยังได้ถ่ายรูปกันแบบสบาย ๆ ปราศจากผู้คนมารบกวน และเราก็ได้กระโดดกันที่นี่เป็นที่แรก






วิวสวย ๆ






หลังจากถ่ายรูปกันเรียบร้อย ก็ไปกันต่อ จุดหมายต่อไปคือเสาดินนาน้อย ร้อนมาก ๆ มาถึงก็เที่ยง หรือบ่าย หน่อย ๆ (จำไม่ได้) แดดกำลังดีเลย ร้อน แต่ก็ได้เก็บรูปเอาไว้ เพื่อเป็นที่ระลึก



ออกจากเสาดิน ก็ถึงเสียที ที่ที่รอคอยมา 1 ปี คือ ดอยเสมอดาว จะดูทะเลหมอก ให้ชุ่มปอดเลย หลังจากที่ดูรูปจากใน INTERNET มาก่อนหน้านี้ จ่ายค่าเข้า อช.เรียบร้อย แล้ว แต่ก็ยังขึ้นไปไม่ได้ เจ้าหน้าที่ยังสกัดรถใม่ให้ขึ้น เนื่องจากบนดอยเสมอดาวให้กางเต้นท์เพียงอย่างเดียว ส่วนรถต้องลงมาจอดด้านล่าง เพื่อจัดระเบียบไม่ให้รถติด หรือหนาแน่นจนเกินไป รอ รอ แล้วก็รอ แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ให้ขึ้น แถมบอกว่าติดรถให้น้ำ และบอกว่าให้เราเดินขึ้นไปก่อน เพื่อจองที่ เพราะคืนนี้คนจะเยอะมาก ๆ พวกเราเลย ตกลง เอาของลง และเดินขึ้นไป เฮ้อ สว. ตามมาด้วย 5555 เหนื่อยวุ้ย ขณะเดินขึ้นไปได้นิดเดียว ไอ้สาด... เจ้าหนี้ที่แม่งให้รถขึ้นได้ ไอ้ฉิปหาย กระโดดขึ้นรถก็ไม่ทัน เดินไปบ่นไป ไอ้สาด.... หลอกให้เดิน ร้อน ก็ ร้อน แต่ก็มาถึงลานกางเต้นจนได้ เรามาช้าไปนิด ลานกางเต้นท์ตรงราบ ๆ นักท่องเที่ยวกางกันหมดแล้ว เราจึงต้องหาสถานที่กาง เป็นเนิน ๆ ที่เท แต่ก็ไม่มีแล้วจึงตกลงกันกางตรงนี้ กางไป แดดออกไป นี่มันหน้าหนาวหรือนี่ ต้นไม้ ไม่มีสักต้น แดดร้อน สุด ๆ แทบไม่น่าเชื่อว่านี่ จังหวัดน่าน หรือประเทศซาอุ ร้อนโครต เหงื่อไหล ติ๊ง ๆ เป็นเม็ด ๆ เลย หลังกางเต้นท์เสร็จ ก็รีบไปอาบน้ำทันที จริง ๆ แล้วน้ำเย็นมาก ๆ นะ แต่ว่าเราร้อนจากแดด จึงอาบอย่างสบาย ๆ



ไม่คิดว่านี่คือหน้าหนาวด้วยซ้ำไป อาบน้ำกันเสร็จ ก็ตกเย็น พวกเราก็จัดแจงทำอาหารกันคืนนี้เป็นอาหารมื้อแรก สุดยอด กับข้าวเยอะมาก ก็เมนูมีหลายอย่าง ตั้งแต่เที่ยวมา มื้อนี้ เป็นมื้อที่ดีที่สุดนะเนี่ย



ตกดึกเจ้าลง จุดเทียน และจุดตะเกียงเล่นกันก็เอา เออ....ลืมเล่าไป จากทริปที่แล้ว ที่บ้านทาร์ซาน เราบนเอาไว้ถ้าถูกหวยเมื่อไหร่จะถอยตะเกียงแก๊ส และเราก็ถูกจริง ๆ ด้วย คือเลข 34 คือบ้าน ทาร์ซาน 3 กับทาร์ซาน 4 คนมันจะถูกง่ะ ทริปนี้ จึงได้ตะเกียงฟรี ๆ มาใช้ สมใจอยาก จุ๊บ ๆ


ตื่นนอนตอนเช้า ล้างหน้าล้างตา รีบเดินขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น และทะเลหมอก คนเยอะมาก แย่งกันถ่ายป้าย กันน่าดู พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว











...แต่.. แต่.... แต่ หมอก หละ พระเจ้า ตั้งใจจะมาดูทะเลหมอก แต่โชคไม่ดี คนคงเยอะเกินไป และไม่หนาวเท่าไหร่ จากทะเลหมอกที่คาดว่าจะได้ดู กลายเป็น บ่อหมอก ว้า...โผล่มานิดเดียว (ถ้ามีโอกาส จะมาแก้ตัว)

เราจึงถ่ายรูปผาหัวสิงห์ และเก่ง กันทุกคน สามารถลูบหัวสิงห์ได้ด้วย สุดยอด จริง ๆ (ทำไปได้ 555)










หลังถ่ายรูปเสร็จเก็บข้าวของเสร็จ เข้าตัวเมือง เพื่อไปเที่ยววัด กันสักหน่อย ก็วันนี้ วันปีใหม่นี่ วัดแรกที่ไปถือวัดมิ่งเมือง สวยดี เหมือนวัดร่องขุน ที่เชียงราย แต่วัดร่องขุน อาจจะมีลวดลาย และลูกเล่นมากกว่า นี้ แต่ก็สวยกันคนละแบบ


จากวัดมิ่งเมืองก็ไปชมงาช้างดำ ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ภายในจะเก็บเครื่องมือ เครื่องใช้โบราณ เงินตรา อาวุธ และ ประวัติศาสน์ ของจังหวัดน่าน ซึงก็ได้ความรู้มากทีเดียว



ออกจากพิพิธภัณฑ์ก็ ไปที่วัดภูมินทร์ แต่ละที่ ก็เดินข้ามถนนไปได้ ภายในวัดก็จะมีจิตรกรรมฝาผนัง และที่ TOP HIT ก็รูป ปู่ม่าน ย่าม่าน














ออกจากวัดภูมินทร์ก็ข้ามไปวัดช้างค้ำวรวิหาร













ออกจากวัดข้างค้ำ ก็นั่งรถไปต่อที่นี้ไกลออกไปหน่อยก็ วัดพระธาตุแช่แห้ง ซึ่งเป็นสถานที่ คู่บ้าน คู่เมือง ของจังหวัดน่าน ถ้าใครไม่มาไหว้ ถือว่ามาไม่ถึง จังหวัดน่าน และที่สำคัญ คนที่เกิดปีเถาะต้องมากราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคล งานนี้ ไอ้หนุ่ย กับ ไอ้ฮ้อน สบายไป


ออกจากวัดพระธาตุแช่แห้ง ก็มุ่งตรงไป อช.ดอยภูคา เนื่องจากต้องไปอีกไกลพอสมควร คืนนี้ เราไม่ต้องนอนเต้นท์ เนื่องจากได้จองที่พักผ่านทาง internet เรียบร้อยแล้ว สบายใจได้ มืดยังไง ก็ไม่ห่วงเรื่องที่พัก และหนาวยังงัยก็ไม่กลัว เนื่องจากมีเครื่องทำน้ำอุ่น 555

ไปถึง อช.ดอยภูคา โอ้พระเจ้า คนทำไมมันเยอะขนาดนี้ รถเต็มไปหมด ดีนะที่จองที่ไว้ ไม่งั้น แย่แน่ จัดแจงแลกบัตร และรับกุญแจห้อง เพื่อไปยังบ้านพัก แต่พอไปถึงหน้าบ้านพัก กับไม่มีที่จอดรถ เลยเดินไปหาเจ้าหน้าที่ เพื่อให้มาเคลียที่จอดให้ แต่โชคร้าย เจอเจ้าหนี้ที่สันดานเสีย ตัวอ้วน นิสัยแย่มาก เลยทะเลาะกับมันซะยกใหญ่ แม่งตัวเงิน ตัวทอง ไอ้สาด....ด แต่พอมาถึง รถต้นจอดได้แล้ว และเจ้าของรถที่จอดตรงที่เรา ก็ลงมาเลื่อนรถให้ ดูดิ นักท่องเที่ยวยังรู้มารยาท เลย ว่าเป็นที่จอดรถของเจ้าของบ้าน ไม่ใช่ของคนนอนเต้นท์ เจ้าหน้าที่เสื่อกไม่รู้มารยาท (เสียความรู้สึกพอสมควรก่อนเก็บของเข้าบ้านพัก)

บ้านพักสวยมาก ราคา 800 บาท มีระเบียงยื่นออกไป ชมวิวได้ มีตู้เย็น และเครื่องทำน้ำอุ่น (ใช้ได้ จริง ๆ ด้วย ไม่เหมือน บ้านทาร์ซาน มีเหมือนกัน แต่ไม่ได้ต่อปลั๊ก 555)











อากาศคืนนี้หนาวนะ แต่เรานอนบ้าน จึงไม่คอยหนาวเท่าไหร่ ส่วนอาหารมื้อค่ำ ก็สั่งจากร้านค้าสวัสดิการทาน จึงสบายไปเลย ไหน ๆ ก็นอนสบายแล้ว อาหารก็ให้สบายไปด้วย แบบว่าไฮโซนะ


ตื่นนอน ไม่เช้า เนื่องจากวันรุ่งขึ้นไม่มีที่เที่ยวที่ไหนนอกจากไปนอนดอยวาว จึงตื่นสายได้ และไปทานข้าวต้มที่ ร้านสวัสดิการ กลับมาอาบน้ำ ถ่ายรูป ส่วนขาไพ่ก็ยังคงแก้มือกันอีก




ออกจากบ้านพัก เกือบเที่ยง ก่อนออกก็ไม่ลืมเขียนด่าได้สาด...ดอ้วนก่อน เอาให้แม่ง....สุด ๆ ไป เลย หวังว่ามันจะมีผลกระทบกับหน้าที่มันนะ นี่ไม่ได้เจ้าเคียด เจ้าแค้นนะ แต่อยากให้มันมีสามัญสำนึกในหน้าที่มากกว่านี้ (ไม่ค่อยจะแค้นเลยนะเรา)

ถึงอช.นันทบุรี ตอนบ่าย ๆ ถามเจ้าหน้าที่ว่า ดอยผาช้าง กับดอยวาว อันไหนสวยก็กัน เจ้าหน้าที่บอก ดอยผาช้างสวยกว่า ตื่นนอนมาเจอหมอก แต่ดอยวาวจะมีดอกซากุระ เหมาะแก่การถ่ายรูป ห่างกันแค่กิโลเดียวเอง เราจึงเลือกกางเต้นท์ที่ ดอยผาช้าง


คนไปไหนกันหมด มีไม่กี่เต้นท์เอง ดีจัง คนไม่เยอะ เป็นส่วนตัวดี เราจองกางเต้นท์ เรียงกัน หันหน้าไปหาวิว
เฮ้อ ช่างสุขอะไรจะขนาดนี้ หลังกางเสร็จ ก็นั่งรถต่อไปที่ดอยวาว โอ้ว สวยจริง ๆ ด้วย ดอกซากุระเยอะมาก เราได้กระโดดถ่ายรูปกันอีกแล้ว สวยอีกแล้วค่ะ ดีจัง มาเที่ยวที่ คนยังไม่คอยรู้จักมันก็ดีแบบนี้ ที่ อช.นันทบุรี กำลังจะประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ แต่ว่าบ้านเมืองเราตอนนี้เปลี่ยนรัฐบาลบ่อย จึงยังไม่ได้ประกาศซะที



จึงเป็นโชคดีของพวกเรา เนื่องจากไม่ได้เก็บค่าเข้าอุทยาน และค่ากางเต้นท์ 555 งานนี้ สวยด้วย แถมฟรีด้วย อะไรจะโชคดีปานนี้ .... แต่ในความโชคดี ก็มีโชคร้ายเหมือนกัน คือ น้ำหมดไม่มีง่ะ เพราะเมื่อวานนี้ มีนักท่องเที่ยวมากางเต้นท์มาก จึงใช้น้ำหมด ซวยหละสิ แล้วจะเอาน้ำที่ไหนใช้กันหละที่นี้ เจ้าหน้าที่บอกว่า
น้ำจะมาตอนเย็น ๆ พอตกเย็นทำอาหารกัน ก็ให้ผู้ชายไปหาน้ำมาทำอาหาร เจอเจ้าหน้าที่ใจดี (ขี้เมา) ช่วยขนน้ำมาให้เต็มถึงเขียว เราจึงรอดตายไป ส่วนเรื่องอาบน้ำ ไม่ต้องห่วง เราไม่อาบกันอยู่แล้ว เพราะว่าอากาศมันหนาวมาก แต่ก็มีน้ำเหลือพอให้เราเข้าห้องน้ำได้ ดีนะที่นักท่องเที่ยวน้อย ไม่งั้น จะเข้าห้องน้ำยังงัย ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน

เย็นนี้กับเมนูของแต่ละคน ที่ได้คิดกันมา ขนออกมาทำกินจนเกลี้ยง เพราะว่าเป็นคืนสุดท้ายแล้ว เหลือแค่มาม่าไว้ ทานตอนเช้าเท่านั้น แม่ครัวเป็นคนเดิม คือ สว.ว๋ง และฮานอย ส่วนคนอื่น ๆ ทำนิด ๆ หน่อย ๆ เช่น พี่ผ่องปอกหอม ตุ๊กติ๊ก หนุ่ย ซอยพริก และหั่นหมูยอ เพียงน้อยนิด แต่คอยกำกับการซะเป็นส่วนใหญ่ 555 เป็นอันว่าคนทำให้กิน นะซวย ทำให้แด็กกกกกก แล้วแม่งยังบ่นกันอีก อย่างนี้เค้าเรียก กำกับไป บ่นไป หรือชิมไป บ่นไป ก็ได้นะ









ตกดึก ก็เจ้าลง และเล่นคำนวนตัวเลขกันตามระเบียบ ส่วนเราขอเข้านอนเอาแรงก่อนเน้อ พรุ่งนี้เจอกัน...... คืนนี้พื้น ไม่เท แต่หนาวจัง บรืออออออ

ตื่นนอนตอนเช้า ไม่ล้างหน้า ไม่แปรงฟัน รีบเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้น และ....ว๊าวววว โชคดี จริง ๆ วันสุดท้าย กับได้เห็นทะเลหมอก แบบเต็ม ๆ และคนก็ไม่เยอะเลย ด้วยสิ รอจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้น กดชัตเตอร์ ไปซะหลายรูป สวยจริง ๆ ไม่ต้องเดินไปหาที่ไหนเลย เดินไม่กี่ก้าวก็ได้เห็น และกลับมาที่เต้นท์ ก็ยังเห็นอีก สุดยอด ... ปิดทริปของน่าน ด้วยความประทับใจจริง ๆ





หลังจากชื่นชมทะเลหมอกจนหน่ำใจ ก็ทานอาหารญี่ปุ่นกัน ก่อนเดินจะออกกำลังกายกันนิดหน่อย ที่ป้าย ตะวันลับฟ้าที่ยอดผาช้าง กันจนสนุกสนาน ทริปนี้เก่งกันจริง ๆ โดดกี่ที่ กี่ที ก็ได้ สงสัยจะชำนาญกันแล้วมั๊ง เลยได้รูปสวย ๆ มาดูกันเพรียบ



ออกจาก อช.นันทบุรี ก็แวะบ้านตุ๊กติ๊ก เพื่อไหว้แม่ และนำของขวัญล้ำค่าที่หอบจาก จ.สมุทรสาครมาแจกที่จังหวัดแพร่ ให้กับแม่ , พี่สาว และญาติ ๆ ถามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมบอกว่าของขวัญคืออะไร แต่เดา ๆ เอาว่าคือ แบรนด์ (ดูเอาเถอะของขวัญของมัน.. แต่ดันไว้กับเราตลอดการเดินทาง) และพี่สาวที่แสนดีก็เตรียมอาหารเที่ยงใว้เรียบร้อยแล้ว แบบว่ามาถึงรับประทานได้ทันที อาหารมื้อเที่ยงนี้ก็อร่อยดี ที่สำคัญฟรี ไม่ต้องเสียตังค์ซักกะแดง ใครสนใจจะให้แม่ช้อย อย่างพวกเราไปกินฟรีก็เชิญนะจ๊ะ หลังจากอิ่มหน่ำสำราญก็อำลา กันเพื่อมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ โดยที่ตุ๊กติ๊ก ขนข้าวสารมาซะหลายกระสอบ (สงสัยปีนี้จะไม่ออกตังค์ซื้อข้าวเลยมั๊ง...สุดยอด)

ออกจากแพร่ ก็แวะซื้อของฝาก ก่อนฝ่ารถติด แต่ก็ไม่ค่อยเยอะ เหมือนปีแรก ๆ เพราะว่าเรากลับก่อน งานเปิด 1 วัน ถึงกรุงเทพฯ ตอนตี่หนึ่ง ที่ปั๊มน้ำมันแถวบ้านเรา และสรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมด 14,481.00 บาท เหลือ 9,519.00 บาท เหลือคืน คนละ 1,100.00 บาท ส่วนที่เหลือ 719.00 บาท แบ่งให้เรา(ซื้อแผ่นและไรท์ dvd)และหน่อย (ส่งเพื่อน ๆ ที่บ้าน) สรุปไปเที่ยวครั้งนี้ ถูกสุด ๆ แค่คนละ 1,900.00 บาท เอง ถ้าผิดพลาดประการใด ก็ต้องขออภัยพวกเพื่อน ๆ สมาชิกด้วย เพราะว่าจะไม่จัดไปเที่ยวอีกแล้ว หวังว่าปีใหม่หน้าคงจะอยู่กับครอบครัว และไปเที่ยวใกล้ ๆ แค่วันสองวันก็พอ ทริปนี้เป็นทริปปิดท้าย ....ไว้เจอกันทริปสั้น ๆ ก็แล้วกันนะ รักนะ จุ๊บ ๆ บ๊าย บาย จ๊ะ