วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

บ้านทาร์ซาน อช.ทองผาภูมิ

โห่ หิ โห่ หิ โห่ หิ้วววว..... โห่ หิ โห่ หิ โห่ หิ้ววว เสียงร้องของทาร์ซานจากในหนังที่เรา ๆ ท่าน ๆ เคยดูกัน เคยสงสัยมั๊ยว่าทาร์ซาน กิน,นอนกันอย่างไร จึงเกิดไอเดียว่า ฉันต้องลองเป็น ทาร์ซานดูบ้าง จึงระดมพลพรรค พวกเก่า ๆ หน้าเดิม ๆ ได้ 10 คน ดังนี้ 1.ชญานุช 2.ฮ้อน 3. เขมจิรา 4. โป้ง 5. ศุภาพัทธ์ 6.หน่อย 7. ต้น 8. พี่ว๋ง 9.นุช และ 10. สมาชิกหน้าใหม่ คือแหม่ม (หนีผัวมาเที่ยว) ทริปนี้ไฮโซ นำรถไป 2 คัน นั่งกัน สบาย ๆ เลย เนื่องจาก หน่อยถอย D-MAX ออกมาเลยลองของเสียเลย เข้าวันที่ 22 พย.51 ตื่นแต่เช้า กลับรถไปรับน้องหนุ่ย กับเจ้าโป้ง ตอน 6.20 น. และขับต่อไปรับ หน่อย กับ นุช ที่ เคหะ หน้า INDEX ประมาณ 7.40 น. และก็ไปรวมตัวกันที่บ้านของคุณติ๊ก ซักพัก รถอีกคัน ก็มาถึง เก็บเงิน คนละ 2 พัน บาท ยกเว้นคนขับ รวม 8 คน เท่ากับ 16,000 บาท ก่อนไปเจ้าของรถต้องเติมน้ำมันที่ปั๊มหน้าบ้านให้เต็มถัง แล้วเราก็เริ่มเดินทางกันเลย รถคันแรกของเรา มี 5 คนคือ 1.ชญานุช 2.ฮ้อน 3.หนุ่ย 4.โป้ง 5.นุช อีกคัน ก็เป็น 1.หน่อย 2.ต้น 3.พี่ว๋ง 4.ติ๊ก 5.แหม่ม 7 โมงกว่า ๆ ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ จ.กาญจนบุรี ระหว่างทางแวะ ร้าน 7-ELEVEN ซื้อขนม และกาแฟ ส่วนเบียร์ซื้อไม่ได้ เนื่องจาก ร้านขายที่ปั๊ม จึงงดขาย สถานที่แรกที่ผ่านคือ น้ำตกไทรโยคน้อย เราแวะทานอาหาร เช้ากันที่ร้านตรงที่จอดรถ เอาแรงก่อน และเดินขึ้นไปถ่ายรูปกัน ที่แรกตรงรถไฟ TOP HIT




จากนั้นก็เดินมาดูน้ำตก น้ำไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ (ก็มันชื่อน้ำตกไทรโยคน้อยนี่หน่า) แต่ก็พอดูได้ ระหว่างที่ชมน้ำตก (ลืมบอกไปว่าเรา ถอยกล้อง CANON 1000D ลองซะทริปนี้เลย) มีเด็กลูกเสือ,ยุวกาชาด มาเข้าค่าย และทำกิจกรรม ขอลายเซ็น และที่อยู่ พวกเราเลยจัดไปอย่าให้เสีย แหม แต่ละคน ทำเหมือนดาราเลย จริง ๆ สิ






ออกจากน้ำตกไทรโยคน้อย ตามโปรแกรมต้องแวะที่ พิพิธภัณฑ์เขาช่องขาด และป้ายมันปิดกระชั้นชิดไป แถมเจ้าฮ้อนก็ขับรถยังกะบิน ที่แรก ผ่านไปแล้วครับท่าน ที่ต่อไปเป็นน้ำตกไทรโยคใหญ่ ....เอาหวะ ไม่พลาด พอถึงน้ำตกไทรโยคใหญ่ ป้ายแม่งก็กระชั้นชิดอีก เลยอีกแล้ว ทะเลาะกับคนขับฉิบหาย เรื่องขับรถไวเนี่ย ไอ้ที่จะจอดกระท้นหัน ก็กลัวรถคันหลังจะชนตูด จึงต้องตัดใจเลย และโทร.แจ้งคันหลังว่าเลยที่เที่ยวแล้ว จึงสรุปว่าไป อช.ทองผาภูมิ เข้าที่พักเลยละกัน

ก่อนจะถึงอช.ทองผาภูมิ ทางเข้าจะเป็นทางโค้ง ประมาณ 20 กิโล หรือ 339 โค้ง เป็นโหลน เป็นเหลน ๆ ของแม่ฮ่องสอน ซึ่งผ่านมาแล้วตั้ง 1864 โค้ง แต่ท่านผู้อ่านเคยดูรายการ " พี่มันแย่....พี่แพ้ทางโค้ง " มั้ย ขับไปได้สักพัก จะได้กลิ่นเปรี้ยว ๆ ซึ่งน้องหนุ่ยจะคุ้นเคยกับมันดี .....มันคืออะไร หุ หุ มันมาอีกหละ ก็จะเป็นใครไปเสียไม่ได้ มันคือ อจ.นุช ถ้าจำไม่ได้จะแปลชื่อมันให้คือ ไอ้ " อ้วกจัง " มันเอาอีกแล้วครับท่าน ตอนแรกก็ขับนำมาอยู่ดี ๆ ต้องจอดข้างทางให้ อจ. ลงไปปล่อยข้าวผัดที่มันเพิ่งกินไปที่ น้ำตกไทรโยคน้อย
แปลกจังตุ๊กติ๊ก เลิกอ้วก แล้ว แต่ อจ.นุชยังไม่เคยเลิกมันเลย สงสัยต้องพาไปถ้ำกระบอกแล้วมั๊ง 555


จุดชมวิว ก่อนถึง อช.ทองผาภูมิ









และแล้วก็ถึง อช.ทองผาภูมิ แลกบัตร และก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปกับป้ายอุทยาน ไม่ลืมที่จะกระโดดอีกตามเคย ครั้งนี้ สงสัยจะห่างหายจากการกระโดดเสียนาน โดดหลายครั้ง จนเหนื่อยไม่ได้ซะที เล่นเอาเหงื่อออกไปตาม ๆ กัน






เหนื่อยไม่เหนื่อยดูสิ ลงไปวัดพื้นซะ 3 คน 555



เสร็จจากการกระโดดพอหอมปากหอมคอ จึงขับรถเข้าที่พัก ณ บ้านทาร์ซานของเรา รถเข้าไปจอดได้ถึงที่บ้านทาร์ซาน 1 และ 2 ส่วนบ้านของเราคือทาร์ซาน 3 และ 4 ต้องเดินลงไปอีกนิดเดียว ........

















บ้านทาร์ซาน 3 กับ 4 เป็นบ้านที่มีระเบียงเชื่อมติดกัน หลัง 3 จะนอนได้ 3 คน และมีห้องน้ำในตัว ส่วนหลังที่ 4 จะใหญ่กว่า และนอนได้ 5 คน ส่วนห้องน้ำต้องเดินออกมาที่ระเบียง พวกผู้ชาย 3 คนจึงนอนบ้านหลังเล็ก ส่วนผู้หญิงนอนเบียดกันหลังที่ 4




บ้านน่ารักมาก ๆ อยู่บนต้นไม้ ทางอช.เข้าใจปลูกสร้าง เหมาะแก่การมาเป็นครอบครัว ลมพัดเย็นสบาย ถ้าเป็นหน้าหนาวคงจะหนาวน่าดูบรือออ ....

หลังจากที่นำข้าวของเข้าบ้านพัก ก็ออกไปทานอาหารที่ร้านค้าสวัสดิการ เป็นอาหารจานด่วน แม่ครัวที่นี่ทำอาหารรสจัดมาก ๆ เผ็ดเหลือเชื่อ แต่ทุกคนก็กินกันไม่เหลือ 555 และหลังจากทานเสร็จก็สั่งอาหารสำหรับไว้ทานคืนนี้เลย เพราะตอนเย็น ๆ คนจะเยอะ เดี๋ยวจะได้ช้า ส่วนเจ้าหน้าที่ก็แนะนำว่า ไฟจะเปิดตอน 18.00 น. และปิดเวลา 20.30 น.........ซวยหละสิตะเกียงก็ไม่มี (เกือบจะได้ตะเกียงแล้ว ไปดูที่เดอะมอลล์ มัน 1350 บาท เป็นตะเกียงแบบปั่น แต่...... งบมันน้อย เจ้ามือ (อีหนุ่ย) ไม่อนุมัติ จึงได้แต่มอง แล้วก็มอง ฝากไว้ก่อนเถอะมึงถูกหวยเมื่อไหร่จะไปถอยมึงแน่) และเจ้าหน้าที่ก็แนะนำอีกว่า ให้ไปเที่ยวที่บ้านอีต่อง (เนื่องจากพวกเราขอซื้อน้ำแข็ง แต่ที่ร้านสวัสดิการไม่มี) และหาซื้อแถวนั้น พวกเราจึงนั่งรถของหน่อยไปคันเดียว




แอบหวาน ใกล้ ๆ ร้านค้าสวัสดิการ











เชื่อปละ ว่ากรรมมันมีจริง ไม่เคยเลยจริง ๆ ตั้งแต่เที่ยวมา ที่จะต้องมานั่งกระบะหลัง ครั้งนี้เรากันฮ้อนเป็นครั้งแรกที่ต้องนั่งท้าย สุดยอดหวะ....ทางโค้ง ไปโค้งมา แต่ก็สนุกดี (นึกถึงพวกที่ต้องนั่งหลังเลยเวลาไปเที่ยวทริปก่อน ๆ เก่งจัง)










สถานที่แรกที่เราจอดรถลงเที่ยวคือหมู่บ้านอีต่อง หรือบ้าน 399 (คือ 399 โค้ง) เป็นหมู่บ้าน เล็ก ๆ สงบดี แต่ไม่มีอะไรเลย มีแต่ปูทะเล ที่ชาวพม่าข้ามมาขาย ตัวโตดี น่ากิน โลละ 140 บาทเอง ถูกจัง แต่พวกเราเพิ่งกินข้าวมาอิ่ม ๆ เลยไม่ได้ซื้อกลับไปทำกิน และก็นั่งรถต่อขึ้นไปอีกจนถึงเนินเสาธง เป็นเขตแดนระหว่างไทย-พม่า ซึ่งจะมีพี่ทหารไทย และพม่ามาคุ้มกันอย่างละคน ทหารไทย ยืนเฝ้าตัวเปล่า แต่ทหารพม่าต้องมีปืนกระบอกใหญ่มาด้วย ทุเรศ ใครจะไปทำร้ายเอ็ง แถมยังห้ามถ่ายรูปที่ฝั่งพม่าอีก เชอะ... ไม่เห็นจะอยากถ่ายเลย ถ่ายประเทศของเราจะดีกว่าอีก ส่วนพี่ทหารของเราใจดีมั๊ก ๆ แถมมุขเยอะอีกต่างหาก ช่วยแนะนำว่าต้องถ่ายรูปจุดไหน ถึงจะสวย ต้องไหนต้องถ่ายอย่างไร เล่นเอาขำกระจายเลยทีเดียว




หลังจากเดินขึ้นไปถ่ายรูปที่เสาธงแล้ว พี่ทหารแนะนำให้ไปจุดชมวิว ต้องขับขึ้นเขา 2 โล แถมชันมาก ๆ แต่วิวสวย แต่พวกเราเห็นว่าเย็นแล้ว จึงไม่ไปกลับที่พักจะดีกว่าเพราะกลัวจะมึด ก่อนกลับไม่ลืมที่จะซื้อ น้ำแข็ง เบียร์ และเทียนไข ขึ้นไปด้วย ที่ร้านค้าโกหกเรา บอกว่า เสาร์-อาทิตย์ อช.จะปิดไฟตอน 4 ทุ่ม พวกเราดีใจ เออจะได้เล่นไพ่ได้อย่างสบาย ๆ 4 ทุ่มกำลังดี

เมื่อกลับมาที่บ้านพัก เวลาประมาณ 5 โมงกว่า ๆ มั้ง พวกพี่ว๋ง หน่อย แหม่ม ต้น โป้ง ตั้งวงจั่วไพ่ ป๊อก 8 ป๊อก 9 กันใหญ่ ส่วนตุ๊กติ๊ก กับน้องหนุ่ย คอยเป็นเด็กเสริฟ (มีบางคนบอกว่าอยากเมา จัดให้) ส่วน อจ.นุช ขอไปอาบน้ำก่อน (กลัวน้ำจะหนาว หรือว่าอ้วกติดเสิ้อ 555) หลังอาบเสร็จ ก็เรียกเพื่อน ๆ ไปอาบ แต่ทุกคนก็บอกว่า ไม่กลัวเพราะมีเครื่องทำน้ำอุ่น อาบเมื่อไหร่ก็ได้ หุ หุ หุ ........ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามา อากาศเย็น ขึ้น เรื่อย ๆ พอ 18.00 น. ก็สามารถเปิดไฟฟ้าได้ น้องหนุ่ยเลยขอไปอาบน้ำก่อน และแล้ว... ไฟในห้องน้ำเปิดไม่ติด ฮ้อนเลยไปดู ตอนแรกนึกว่าฟิวส์ขาด จึงถอดไปเปลียนที่ระเบียงบ้านผู้ชาย และลองเปิด เอ้า ....ทำไมติดหละ แปลว่าหลอดไม่ขาดนิ ....เลยไปใส่ใหม่ ปรากฏว่าสายไฟไม่แน่น ต้องขยับอยู่หลายที จึงจะติด เฮ้.... เรากับหนุ่ยดีใจกันใหญ่ และหนุ่ยก็ลองเปิดเครื่องทำน้ำอุ่น ทำไมมันไม่ติด จึงเรียกฮ้อนไปดูอีก กดเท่าไหร่ก็ไม่ติด ทำอย่างไร ไฟก็ไม่เข้า และแล้ว.....ไอ้สาด.... เจ้าหน้าที่ตัดสายไฟ ไม่ให้ใช้ สงสัยคงเคยเกิดอันตรายมั๊ง ซวยหละทีนี้ เสือกชะล่าใจนึกว่าน้ำอุ่นจะใช้ได้ และแล้วพวกเราก็อาบน้ำ สุดยอด เย็นมั๊ก ๆ ถ้าเป็นหน้าหนาวจะขนาดไหนเนี่ย




หลังจากอาบน้ำเสร็จ รอเวลา 1 ทุ่ม ก็ไปรับอาหารที่สั่งทำไว้ และนำกลับมาเทกินกันที่หน้าบ้านผู้ชาย มื้อนี้ อร่อยดี กินไปหนาวไป สนุกไปอีกแบบ พอกินข้าวเสร็จ พวกขาไพ่ก็เล่นไพ่กันต่อ ส่วนเรากับหนุ่ย ,โป้งและฮ้อน ตั้งวงกินเหล้าที่ระเบียงด้านนอก กินไปดูดาวไป สวยมั๊ก ๆ ดาวเต็มท้องฟ้าช่างโรแมนติคจริง ๆ พอ 2 ทุ่มครึ่งไฟกระพริบ ๆ ๆ เหมือนจะเตือนว่าจะดับ และแล้ว ไฟก็ดับลง (ร้านค้าโกหกเราบอกว่าปิด 4 ทุ่ม) พวกเราจึงใช้เทียนที่ซิ้อมาจุดต่อ ส่วนพวกวงไพ่เอากับมันสิ ไฟดับมันก็จุดเทียนเล่นกันอีก เล่นได้สักพักวงแตกค่ะ เสียงโวยวายมาจากในห้อง และก็เลิกเล่นกัน ก็เจ้าได้คนเดียว ส่วนคนอื่น ๆ เสียรอบวง รู้ปละเสียเพราะไอ้ตุ๊กติ๊กมันเข้าไปสวดมนต์ จึงทำให้วงไพ่กระเจิง กันเป็นแถบ ๆ พวกขาไพ่จึงออกมาร่วมวงกินเหล้ากันที่ระเบียง ท่ามกลางแสงเทียน หนาว เป็นระลอก ๆ ทุกครั้งที่ลมพัด กินไป กินมา ดันมีคนถามว่า ในโปรแกรม เขียนทำไมว่าให้นำพระมาด้วย เราจึงบอกความจริงออกไป ว่าบ้าน 2 หลังนี้มีประวัติ ถ้าตกดึกมีคนมาเรียกอย่าขานรับ หุ หุ ให้เงียบไว้ จึงทำให้หลายคนกลัวไปตาม ๆ กัน รวมทั้งเราด้วย

เกือบ ๆ ห้าทุ่ม หรือมากกว่านั้น ก็หยุดกิน เนื่องจากเหล้าหมด เราก็บอกหนุ่ยว่าถ้าเราปวดฉี่ เราจะเรียกนะ ส่วน อจ.นุช ตอนแรกเธอจองที่นอนหน้าประตู เพราะเธอกินเหล้าแล้วต้องเข้าห้องน้ำบ่อย แต่พอเราเรื่อง ผ.. เธอจะขอย้ายที่นอน แต่เมินเสียเถอะ ใครจะยอม 5555

ระหว่างที่นอน ไอ้ห่าเอ๋ย นอนไม่หลับ นอนฟังเสียงลมพัดตลอดเวลา และเหมือนมีอะไรวิ่งตลอด และแล้วก็มีเสียงดังขึ้น มาจากทางด้านขวาของเรา ตุ๊กติ๊กเห็นว่าเราไม่หลับจึงถามเสียงใครวะ เราบอกว่า ไอ้หนุ่ย มันชอบนอนกรน แต่ไอ้หนุ่ย เสือกตอบกลับมาว่า เหี้ยกูยังไม่หลับเลย และแล้วต้นเสียงก็คือ เจ้าแหม่มนั่นเอง ระหว่างที่เราคุยกันอยู่นั้น คนที่นอนหน้าประตูก็ตะโกนมาว่า "ยังไม่หลับกันใช่ไหม ถ้าไม่หลับไปเป็นเพื่อนหนูเข้าห้องน้ำหน่อย" .......... เงียบค่ะ เรา 3 คนเงียบหุบปากสนิท เราสะกิดให้หนุ่ยไปเป็นเพื่อน หนุ่ยบอกว่า "เฮ้ยมันเร็วไป เพิ่งนอนตะกี้เนี่ยปวดแล้วหรือ" กระซิบเบา ๆ หนุ่ยไม่ไป เราจึงกระซิบให้ตุ๊กติ๊กไป ตุ๊กติ๊กบอก " ไอ้ขี้หมา ฉันนอนคนสุดท้ายเลย ทำไมไม่เรียกคนใกล้ ๆ วะ" และแล้วพวกเราก็เงียบอีก อจ.นุช จึงโมโหมั๊ง " ไม่ไปกันใช่ใหมหนูไปคนเดียวก็ได้" 555 แล้วคืนนั้น ก็ผ่านไป นอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่ สงสัยเป็นเพราะกินโค้กมากไปกระมั๊ง เพราะโค้กกับเป็ปซี่ จะมีกาเฟอีนผสมด้วย ฮ้า ๆๆ เป็นวิชาการก็ได้นะเรา


เสียงคอนเสริต์จากป้าเบิร์ด ดังมาจากมือถือนังหน่อย ทำให้ทุกคนต้องลุกจากที่นอน ล้างหน้า, ล้างตา (ไม่อาบน้ำหรอก เพราะว่าบ่าย ๆ วันนี้เราจะไปอาบน้ำตกกัน ) และเราก็ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นหน้าระเบียงบ้าน ช่างเป็นภาพที่สุดบรรยาย จริง ๆ ถ่ายรูปกับพระอาทิตย์กันยกใหญ่ ก่อนที่จะอพยพ ย้ายพลพรรค ไปถ่ายรูปที่เนินกุดดอยกัน คนไม่มี เนื่องจากนักท่องเที่ยวเค้ามาถ่ายกันไปหมดแล้ว 555 เหลือแต่พวกเรา ก็ดี ไม่มีใครมารบกวน



บนบ้านทาร์ซาน 1 บ้าง (ทาร์ซาน 1 เป็นบ้านตัวอย่าง ไม่ให้พัก แต่ขึ้นไปชมได้)




กลับจากถ่ายรูป ก็ต้มมาม่า + กาแฟ อาหารยอดฮิต ติดตัวไปด้วยทุกทริป ไม่มีไม่ได้ เพราะประหยัด และก็ได้บรรยากาศด้วยแฮะ กินเสร็จ เจ้าเริ่มลงอีกแล้ว วันนี้เราได้มา 60 บาท โชคดี จริง ๆ เพราะตั้งแต่เล่นไพ่มาไม่เคยได้กับเค้าเลย

สาย ๆ เก็บข้าว เก็บของ กระโดดให้ชุ่มปอด หน้าบ้านทาร์ซาน 2 ก่อนจะออกจาก อช.ทองผาภูมิ เพราะจะไปอาบน้ำพุร้อนกัน















มองทำไมว๊ะ.....

เรานำจาน ชาม ที่เช่าร้านสวัสดิการไปคืน ยังไม่ลืมที่จะถามหาเจ้าแจ๋วแหว๋ว แต่แล้วก็พลาดอีก เมื่อเช้าเจ้าแจ๋วแหว๋วมา แต่ตอนนี้ บินไปแล้ว ว้า....เสียดายจัง สงสัยต้องมาแก้ตัวแล้วมั๊ง


ก่อนออกจาก อช.เพื่อแลกบัตร มีนักท่องเที่ยว ตี๋ ๆ น่ารักเชียว ขอติดรถไปลงในเมืองด้วย (ทองผาภูมิ) เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องผ่านอยู่แล้ว เราจึงให้นั่งติดรถ (กระบะหลัง) ระหว่างทางที่ขับ พวกเรา บอกให้ไอ้ฮ้อนขับเบา ๆ อย่าเหวียงแรงเดี๋ยวน้องเค้าจะแย่ รถคันหลังของเจ้าต้น นินทากันยกใหญ่ แม่ง พอมีผู้ชายนั่งไปด้วย ไอ้ฉิบหายขับซะนุ่มเชียว ทีตอนผู้หญิงนั่ง แม่งขับยังกะจะบิน 5555 แต่พอรถขับไป เรื่อย ๆ เราก็คิดว่า ทำไมเค้าไม่เคาะให้รถจอด ทั้งที่เลยทองผาภูมิมานานแล้ว พอใกล้จะถึง ไทรโยคใหญ่ เสียงเคาะดังมา เราจึงจอดให้ลง ปรากฏว่า เลยแล้วหละ เค้าก็ไม่รู้เส้นทาง เราก็ไม่รู้ แต่เค้าก็ขอบคุณแล้วก็คงโบกรถต่อไปอีก บ๊าย บาย นะจ๊ะ พ่อหนุ่มน้อย

ถึงน้ำพุร้อนหินดาด เกือบเที่ยง หิวกันมาก จึงเข้าไปทานข้าวเหนี่ยว ส้มตำ น้ำตกกัน เอาแรง ก่อนไปอาบน้ำแร่ จ่ายค่าเข้าคนละ 10 บาท น้ำพุร้อนมี 3 บ่อ (บ่อพระสงฆ์ ,บ่อเด็ก ๆ ตื้น ซึ่งน้ำไม่ค่อยร้อน , และบ่อน้ำร้อน) นักท่องเที่ยวเยอะมาก โดยเฉพาะพวกฝรั่ง นุ่งบิกินี่ ตัวแดง ๆ อาบกันเยอะแยะเชียว แต่ละคนอย่าให้เซส ต้องไปดูเอง พวกเราไม่พูดพร่ำ ทำเพลง ถอดรองเท้า เอาเท้าจุ่มทันที อู๊ย.....ร้อนจัง โดยไม่อ่านกฏระเบียบเลย เค้าต้องแช่น้ำเย็นก่อน ค่อยแช่น้ำร้อน แฮะ ๆๆๆ ผิดสูตรไปนิด แต่ก็ให้อภัยกันนะ พวกผู้หญิงไม่มีใครลงอาบ ได้แต่แช่เพียงแค่เท้า สบายดีจัง เราอยากอาบนะจะได้หายปวดเมื่อย แต่ไม่มีพวก จึงเก็บเอาไว้ก่อน คราวหน้าไม่พลาดแน่ ส่วนเจ้าโป้ง จอมเมื่อย ถอดเสื้อลงอาบคนเดียว อิจฉามันหวะ....อยากเกิดเป็นผู้ชายจัง จะทำอะไรก็ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากเหมือนผู้หญิงเล้ย... พวกเรา แช่น้ำร้อน และสลับน้ำเย็น ครบ 3 ครั้ง แล้วจึงออกจากน้ำพุ ตอนแรกจะไปน้ำตกอีกที่ใกล้ ๆ แต่เปลี่ยนใจกลับบ้านดีกว่าเพราะกลัวจะมืด











ขากลับก็แวะร้านวิมล เพื่อซื้อของฝาก และตรงบ้านแพ้ว เจอตำรวจเรียกตรวจ ซะละเอียดเชียว สงสัยจะเห็นได้หนุ่ย กับไอ้โป้ง ใส่เสื้อเหลือง (วันนี้พันธมิตรจะนัดรวมตัวกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะยึดสนามบิน) ตำรวจค้นรถ เจอมีดดาบสนิมเขรอะ ๆ ของไอ้ฮ้อน ดีนะที่ไม่โดน ส่วนเราก็เปิดช่องใส่ของ ส่องไฟเข้าดู และก็ปล่อยไป และพวกเราก็มารวมพลกันที่ปั๊มน้ำมันหน้าบ้านตุ๊กติ๊ก เติมน้ำมันเต็มถัง และเคลียค่าใช้จ่ายทั้งหมด 7,848 บาท (โค้ก,มาม่า,กาแฟที่เดอะมอลล์ 238.- ส้ม,แอ็ปเปิ้ล 100.- ขนม,กาแฟ,ที่ปั๊มน้ำมัน 244.-
น้ำมันรถฮ้อน 450.- น้ำมันรถหน่อย 416.- ก๋วยเตี๋ยว,ข้าว ที่ไทรโยกน้อย 300.- ค่าเช้า อช. 10 คน @ 20 เป็น 200.- ค่าบ้านพัก 2 หลัง 2,200.- ค่าข้าวกลางวันที่ร้านค้าสวัสดิการ 500.- เบียร์,โซดา 240.- น้ำแข็ง 60.- อาหารค่ำสั่งจากร้านค้าสวัสดิการ 610.- ค่าอาบน้ำพุร้อน 10 คน @ 10 เป็น 100.- ข้าวเหนียว,ส้มตำ 810.-
น้ำมันรถฮ้อน 740.- น้ำมันรถหน่อย 640.- (น้ำมันรถราคาลิตรละ 22.64 บาท )รวม 7,848 เก็บได้ 16000 บาท เหลือ 8,152 บาท คืนคนละ 1,000 บาท (เท่ากับงานนี้ ออกคนละ พัน ถูกแสนถูก จริงปละ) ส่วนเศษ อีก 152 บาท เราจะเก็บไว้ซื้อแผ่น ซีดี ไว้ไรท์รูปทั้งหมดให้เพื่อน ๆ และแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน โดยสวัสดิภาพ .......ไว้เจอกันใหม่ ทริปเที่ยวน่าน.....บ๊ายบาย

วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2551

อช.เขาสามร้อยยอด

สงกรานต์ปีนี้ ตั้งใจว่าต้องไปพักผ่อนชาร์ตแบ็ตเสียหน่อย จึงได้เลือก อช.เขาสามร้อยยอด เป็นที่พักผ่อน ก่อนอื่นต้องเข้าไปจองบ้านพักออนไลน์ได้ห้องคูหา (ลืมบอกไปต้องเข้าไปจองล่วงหน้า 60 วัน แบบว่ากลัวคนอื่นแย่งนะ) Trip นี้ไปกันแค่ 4 คน คือ นุช, ฮ้อน,หนุ่ย และ โป้ง ออกเดินทาง เช้าวันที่ 13 เมษายน 2551 เวลา 6.00 น. แวะตลาดมหาชัย เพื่อซื้ออาหารทะเลไปทำกินที่นั่น และแล้วเราก็ได้ 1. เจ้ากุ้งนาง 1 กิโล @ 180 บาท 2. กุ้งขาว 1 กิโล @ 150 บาท 3. ปูม้า 1 กิโล @ 230 บาท และ 4. ปลาหมึก ครึ่งกิโล ราคา 65 บาท จากนั้น ก็มุ่งหน้าสู่จุดหมาย

พอนั่งรถมาถึงเขาย้อย ตอนแรกกะว่าจะแวะทานข้าวราดแกง กับกาแฟ ร้อน ๆ เสียหน่อย แต่พอมาถึงคนเยอะมาก ทั้ง 2 ร้าน และก็เข้าซ้ายไม่ทัน เพราะขับเร็วไปหน่อย (แบบว่ารถไม่ติดนะ) ทำงัยหละที่นี้ เลยร้านมาแล้วด้วย จึงขับไปเรื่อย ๆ จนมาถึงร้าน.... (เดลินิวส์รับรองความอร่อย) จึงแวะเข้าไปทาน สั่งแกงแพนงหมู กับไข่ต้ม 3 จาน ส่วน ของน้องหนุ่ย สั่ง ผัดกาดดองผัดไข่+ไข่ต้ม หิวก็หิว แต่แม่เจ้าประคุณเอ๋ย รสชาติสุดยอดมาก มาแค่ไหน เหลือแค่นั้น แม้กระทั่ง ไข่ต้มยังไม่อร่อยเลย จึงไปสั่งกาแฟร้อน คนขายใจดีชงให้เรา เราแอบมอง คนชงใส่กาแฟ แค่ ครึ่งช้อน และให้น้ำตาล 1 ซอง ครีมอีก 1 เราเลยขอครีม อีก 1 เป็น 2 เอามาปรุง ปรากฏว่ามันดื่มไม่ได้จริง ๆ เหมือนน้ำล้างถ้วยกาแฟ จึงคิดเงินดีกว่า หมดไป 275 บาท











เดินทางมาถึง อช.เขาสามร้อยยอดประมาณ 10 โมงเช้า ก็เสียค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน 190 บาท ค่าเข้าคนละ 40 บาท ค่ายานพาหนะ 40 แล้วก็ขับรถมาที่บ้านบางปู เพื่อจะต่อเรือข้ามฝากไปแหลมศาลา ค่าเรือ ไป-กลับ เหมาลำ 10 คน 300 บาท แต่ถ้าค้างคืน 500 บาท (นั่งเรือ ไม่ถึง 10 นาที) ตอนแรกพวกเรางกนะ ก็แหมไปแค่เนี๊ย ตั้ง 500 บาท ตัวหารเงินก็น้อย จึงลองเดินเท้าขี้นไปชิมรางก่อน โอ๊ย แทบตาย (ขนาดตัวเปล่านะเนี่ย ถ้าต้องแบกสัมภาระจะขนาดไหน จึงต้องยอมเสียเงิน แลกกับการแบก แต่ก็ไม่ลืมจะเก็บภาพวิวจากด้านบนมาฝาก











จากนั้น ก็ขนสัมภาระออกมายืนรอเรือของเรา เพื่อจะนั่งข้ามไปแหลมศาลา คนเยอะมาก ๆ แต่ส่วนใหญ่จะไป-กลับ เพราะที่แหลมศาลา บ้านพักยังมีไม่มากนัก ดังนั้นจึงไม่ค่อยสะดวกเพราะต้องจองล่วงหน้า












และแล้วเรือก็นำเรามาถึงแหลมศาลา จึงรับกุญแจกับเจ้าหน้าที่ และเข้าบ้านพักชื่อบ้านคูหา บ้านใหญ่มาก นอนได้ 8 คน มี 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ เมื่อเก็บกระเป๋าเสร็จ ก็เดินไปทานอาหารเที่ยงที่ร้านค้าสวัสดิการ ใกล้ ๆ ที่พัก อาหารที่นี่รสชาติก็ใช้ได้ทีเดียว แต่จะมีป้ายติดแจ้งไว้ตลอดที่ร้านอาหาร แม้กระทั่งบ้านพัก จะแจ้งให้ทราบว่าน้ำแข็งมาไกล ละลายไปกว่าครึ่ง ดังนั้นน้ำแข็งที่นี่จะแพงกว่าปกติ กระป๋องละ 10 บาท แต่เราว่าก็โอเคนะ (เพราะที่ร้านหมูกะทะ ไม่ต้องเดินทางไกลกระป๋องละตั้ง 30 แหนะ)










เมื่อจัดการกับอาหารเที่ยงแล้ว ก็กะว่าจะมาปิ้งยางอาหารทะเล และแล้ว...... ซวยหละสิ ดันลืมน้ำจิ้มซีฟู้ดที่ให้ เจ๊หมวยทำมาให้ 2 ชนิด คือพริกแดง และพริกเขียว (เจ๊หมวยที่ว่านี้ คือแม่ไอ้หนุ่ยมันนะแหละ หรืออีกอย่างก็คือแม่ยาย ของไอ้ฮ้อนมัน งง...เปล่า) พลขับของเรารับอาสาเดินขึ้นเขาไป - กลับ 2 กิโล เพื่อไปเอาน้ำจิ้ม (หน้าบางไม่กล้าขออาศัยเรือไป แจ้งว่าลืมของขอนั่งฟรี เรื่องแค่เนี้ยทำเป็นอาย ไม่รู้จะอายทำมัย นักท่องเที่ยวตั้งเยอะแยะ) ระหว่างที่รอน้ำจิ้ม พวกเราก็เดินถ่ายรูปกันที่ทิวต้นสน






เหนื่อยแล้วกว่าจะรู้จุดว่าต้องกระโดดตอนไหน เล่นเอาลิ้นห้อย เลยเรา (แต่ไม่บอกหรอกว่าตอนไหน ให้ไปฝึกเอาเอง แบบว่าหวงวิชานะ) จากนั้น ก็นอนมั่ง กระโดดเยอะแล้ว

เจ้าโป้งขอนอนก่อนนะ













น่าสงสารจัง รับบทหนัก จึงขอเดี่ยว ๆ บ้าง (คิดว่าสวยกว่ามีคนนั่งนะ คิดเหมือนกันเปล่า)






หลังจากนั้นก็เก็บภาพทิวทัศน์อันงดงาม และหายเหน็ดเหนี่อยกับการกระโดด ก็มาจัดการกับอาหารทะเลที่ซื้อมาซะ อย่าให้เสีย เริ่มจากย่างกุ้งก่อน ผลัดกัน ย่างคนละที สองที ก็มันครั้งแรกของเรานี สนุกดี ลืมบอกไปเราเอาเตาย่างมา 2 ประเภท คือใช้ถ่านหุงข้าว กับใช้ไฟฟ้า ที่นี่อนุญาติให้ใช้ไฟได้จึงเสร็จเรา ใช้เตาไฟฟ้าย่างเสียเลย ขณะย่างก็นึ่งปูไปด้วย แหม....กลิ่นมันช่างหอมรัญจวนเสียนี่กระไร ถ้าไม่เชื่อดูจากภาพประกอบแล้วกันนะ




















สุกยังวะ.....ช่วยดูหน่อยดิ

หลังจากที่ปิ้ง ไปทานไป ดื่มเบียร์ กันไป มันช่างอร่อยได้ใจ จริง ๆ พับฝ่าสิ บรรยากาศสวย ๆ กระรอกน้อย หลายตัว วิ่ง ไล่จับกัน ตามพื้น และบนต้นมะพร้าว ช่างมีความสุขมาก ๆ ดูเวลาประมาณ 4 โมงเย็น คงต้องหยุดทานกันก่อน เพื่อจะเดินไปเที่ยวที่พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ ณ ถ้ำพระยานคร เพราะเวลา ไป-กลับ ประมาณ 1 ชั่วโมง กลับมาจะได้ลงเล่นน้ำทะเลกัน ว่าแล้วก็เดินทางกันเลย
ระยะทางแค่ 430 เมตร แต่สุดยอด คนเยอะมาก ช่วงที่ขึ้นตอนแรก ๆ ทางชันสูงทีเดียว แถมไม่มีที่พัก สุดยอดจริง ๆ เล่นเอาเหงื่อไหลเหมือนอาบน้ำกันเลย หัวใจเต้นแรง ปวดหัวตุ๊บ ๆ (ก็ก่อนขึ้นดันดื่มเบียร์ไปซะหลายแก้ว แถมหยิบแก้วคนนู้นกิน คนนี้กิน ผิดอีก ทั้งมึนทั้งเหนื่อย ไม่ได้แก่นะ แต่ว่าเมานะ) ไอ้หนุ่ย มันชั่วร้ายมาก ๆ มันสะใจ ที่ได้ไปทริปนี้ เพราะว่ามันบอกเราว่าสะใจจริงโว้ย เห็นไอ้นุช มันเหนื่อยสุด ๆ ชั่ว จริง ๆ มันไม่เกิดก่อนบ้างแล้วไป ...จำไว้)

พอขึ้นมาถึง ก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เพราะว่าสถานที่สวยดีค่ะ ร.5 ทรงชอบที่นี่มาก มาที่นี่ถึง 2 ครั้ง รวมทั้ง ร.7 และ ร.9 ของเราก็เคยมานะ



ซุ้มรอดคู่ ไม่ค่อยมีคนรอด แต่เรารอด ตอนรอดก็จูงมือกันรอด (คิดเอง เออเอง ว่าจะได้อยู่เป็นคู่) แต่พอมาถามคนแถวนั้น ก็บอกว่าถ้าใครได้รอดแล้ว จะได้กลับมาที่นี้อีก ดีแฮะ แบบว่าอยากกลับมาอีก ชักจะหลงเสน่ห์ที่นี่แล้วสิ
ใช้เวลาเดินทางไป-กลับ ประมาณชั่วโมงเศษ ตามที่เจ้าหน้าที่แจ้งไว้ (ลืมบรรยายไปว่าระหว่างทางลง เหงื่อของเรากับเจ้าโป้งอาบโทรมกาย พอเดินผ่านเด็กตัวเล็ก ๆ เด็กถามแม่ว่า ข้างบนมีที่อาบน้ำด้วยหรือค่ะ ? หนุ่ยบอกว่าไม่มีหรอก และเป็นเหงื่อของพวกเราต่างหาก ทำงัยได้ก็คนมันร่างกายสูบฉีดดีก็อย่างนี้แหละ)


หลังจากลงมาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าลงเล่นน้ำทะเล ให้หายเหนื่อย แต่น้ำลง ลง มาก ๆ (มารู้ตอนหลังว่าต้องอาบตอนเช้า ๆ น้ำทะเลจะขึ้นสูง และใส แจ๋ว แหวว สีเขียวน่าอาบมาก ๆ โง่จริง ๆ วันหลังจะกลับมาอาบแก้ตัว) น้ำไม่ใส แถมลงไปลึกจนเหยียบโคลนเลยทีเดียว น้ำอุ่น ๆ ก็ดีเหมือนกันเหมือนมาทำสปา แถมอาบโคลนด้วย ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ขึ้นมาทำอาหารกันอีก ทีนี้ เหลือกุ้งนางอีก 1 กิโล ทำงัยหละ โทร.ไปถามแม่ว่ากุ้งเค็มทำอย่างไร แม่บอก ว่ากุ้งครึ่งกิโลใส่เกลือไอโอดีน ครึ่งช้อนโต๊ะ เราก็ทำกัน และที่เหลือก็ย่างกินกันอีก 1 มื้อ (ลืมบอกว่าว่าไปสั่งต้มยำน้ำใส,ไข่เจียวหมูสับ และข้าวเปล่ามาทานกับอาหารของเราด้วย)












วัน ๆ ไม่ทำอะไร คอยจ้องอย่างเดียว ว่ากูจะกินมึง กูจะกินมึง (ขอบอกว่ากุ้งเค็มอร่อยโครต)




เช้าแล้วของวันที่ 14 เมษา ตื่นแต่เช้าเดินเล่นตามชายหาด แล้วโชคดีเห็นชาวบ้านแถวนั้น ปักตาข่ายดักปลาเอาไว้ จึงเดินเข้าไปดู วันนี้ได้แมงดา 2 ตัว (น่ากินเชียว ไข่มันอร่อยจัง) อุ๊ยบาปกรรม จึงถ่ายรูปเก็บไว้ซะหน่อย จากนั้นก็ถ่ายรูปตอนเช้า ๆ และเดินเล่น ก่อนจะมาต้มกาแฟ กับ มาม่าทาน เป็นอาหารประจำ ที่ติดตัวไปด้วยทุกทริปก็ว่าได้
หลังจากจัดการกับอาหารเช้าเสร็จ ก็อาบน้ำอาบท่า เตรียมตัวกลับ เพราะว่าแจ้งกับคนขับเรือว่าจะกลับตอน 10 โมงเช้า (แต่ประมาณ 9 โมงคนขับเรือเดินมาถามแล้วว่าจะกลับหรือยัง ก็โอเค กลับก็กลับเพราะต้องแวะไปไหว้วัดห้วยมงคลต่อและนัดกับแม่ที่เดอะมอลล์ไว้ จึงเก็บภาพบรรยากาศก่อนกลับอีกสักหน่อย

ขุดหาอะไรนะ ....








อ๋อ...เอาใจแฟน ใต้ทรายมันเย็นนะสิ แล้วก็หยอกล้อกันน่าอิจฉาหมาตัวเมียจัง ตัวผู้ทำมัยมันช่างเอาใจจริง ๆ


ขอแบบคู่บ้าง
















ใครบังคับ ....มันถ่ายวะ



ต่อจากนั้นก็แวะไหว้พระที่วัดห้วยมงคลเพื่อเป็นสิริมงคลกันซักหน่อย และจะซื้อน้ำอบเพื่อสรงน้ำพระ แต่แหม น้ำอบขวดกระจิ๊ดเดียว ขายชุดละ 100 บาท พร้อมผ้ายันต์ และรูปภาพพระ แพงจัง แค่น้ำอบอย่างเดียว ซัก 30 บาทก็จะสรงแหละ จึงไม่ได้สรง ได้แต่ไหว้อย่างเดียว แดดร้อนมาก ๆ จึงถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก่อนกลับ















และแวะซื้อของฝากที่ร้านแม่กิมไล้ ถึงกรุงเทพฯ เวลา บ่าย 2 โมง เป็นอันจบทริปแห่งความประทับใจอีก 1 ทริป ใช้ระยะทางทั้งหมด 487 กิโล ค่าใช้จ่าย 6,170 บาท (ไม่รวมพวกครีมกันแดด,กล่องโฟม) ถึงบ้านและให้อาหารปลา และไปทานสุกี้ต่อกันที่ เอ็ม เค และได้ถ่ายรูปฟรีในวันครอบครัว เล่นกับหลานเพลิน สนุกดี พอ 6.30 น . กลับบ้านอย่างมีความสุข พบกันใหม่ทริปหน้า......